หมวดหมู่
Motorcycle New Innovation News

ALPHA VOLANTIS ส่งโปรสุดร้อนแรง SUMMER HOT DEALตอบรับรางวัลรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี “The Unique Design Scooter”

(กรุงเทพฯ, 25 มีนาคม 2567) บริษัท ทริลเลี่ยน มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบรนด์ ALPHA VOLANTIS (อัลฟ่า โวแลนทิส) ที่ได้สร้างสรรค์ยนตรกรรมสองล้อภายใต้แนวคิด “INVENTING THE FUTURE” ส่งโปรโมชันสุดพิเศษ ALPHA VOLANTIS SUMMER HOT DEAL เพื่อตอบรับรางวัลรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี Thailand Bike of The Year 2024 ประเภท The Unique Design Scooter จัดโดยบริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) นับเป็นรางวัลที่สะท้อนถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์ด้วยดีไซน์พรีเมียมล้ำสมัยสู่ตลาดรถจักรยานยนต์เมืองไทย HORIZON 300SR ‘Street Racer’ รถจักรยานยนต์ที่ได้รับรางวัลในประเภท The
Unique Design Scooter จากการเฟ้นหารถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี
Thailand Bike of The Year 2024 ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นรถจักรยานยนต์ Sport Premium Scooter ที่มีดีไซน์สวยงามไม่ซ้ำใคร มาพร้อมกับลุคหล่อ เท่ ดุดัน ด้วยสีใหม่ Assault Gray พิเศษด้วยชุดแต่ง SR Custom Parts แท้จากโรงงานถึง 13 ชิ้น รอบคัน ออกแบบอย่างทันสมัย สวยงามอย่างลงตัว พร้อมที่จะตอบสนองทุกการขับขี่ให้สนุกเร้าใจ
และระบบช่วงล่างที่ถูกปรับเซ็ตใหม่ทั้งหมดให้สมรรถนะที่ดียิ่งขึ้น


 ข้อเสนอ SUMMER HOT DEAL!!! ราคาจำหน่าย 149,900 บาท
o ฟรี!! Voucher ส่วนลด 10,000 บาท
o ฟรี!! Front Shield มูลค่า 1,690 บาท
o ฟรี!! หมวกกันน็อค HORIZON 300SR Special Collection มูลค่า
1,990 บาท
o ฟรี!! ประกันภัยรถหาย 1 ปี มูลค่ากว่า 2,500 บาท
o ฟรี!! ค่าจดทะเบียน และ พ.ร.บ. มูลค่ากว่า 1,000 บาท

HORIZON300 PDM : Special Collection
เป็นรุ่นพิเศษที่ถูกออกแบบมาให้มีความโมเดิร์นทันสมัย
ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างแบรนด์ Product Lifestyle ชั้นนำอย่าง PDM และ ALPHA VOLANTIS โดยทาง PDM ได้นำลวดลาย Stride
ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ในตำนานของแบรนด์ PDM มาใช้ในการออกแบบและปรับการจัดวางรายละเอียดแต่ละชิ้นให้กระจายตัวไปบนตัว
รถ ในรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ไร้แรงโน้มถ่วง (Gravity)
เสมือนกับการขับเคลื่อนที่ไร้ขีดจำกัดไปได้ในทุกที่ โดยลวดลาย gravity
ได้ถูกวางลงบนตัวรถ Alpha Volantis Horizon300 แต่ละจุดอย่างลงตัว
ผสานเข้ากับเส้นสายของตัวรถ ดูโดดเด่นในทุกมิติ สอดรับกับตัวเบาะลวดลายพิเศษที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ PDM และ ALPHA
VOLANTIS ได้เป็นอย่างดี

 ข้อเสนอ SUMMER HOT DEAL!!! ราคา 129,900 บาท
o ฟรี!! Voucher ส่วนลดมูลค่า 5,000 บาท
o ฟรี!! Front Shield มูลค่า 1,690 บาท
o ฟรี!! หมวกกันน็อคลายพิเศษ HORIZON300 PDM มูลค่า 1,590 บาท
o ฟรี!! ประกันภัยรถหาย 1 ปี มูลค่ากว่า 2,500 บาท
o ฟรี!! ค่าจดทะเบียน และ พ.ร.บ. มูลค่ากว่า 1,000 บาท

HORIZON 300 Shine Your Elegance โดดเด่นทุกความเป็นคุณ
ยกระดับที่สุดแห่งความหรูหราดีไซน์ระดับพรีเมียมด้วยชุดตกแต่งโครเมียมรอบคัน เติมเต็มกลิ่นอายความคลาสสิกผสานความล้ำสมัยด้วยดีไซน์ Futuristic Premium โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่อยู่ในมิติตัวรถขนาดคล่องตัวด้วยน้ำหนักตัวรถเพียง 138 กิโลกรัม ทำให้ขับขี่เคลื่อนตัวง่ายขึ้น ควบคุมน้ำหนักรถสบายขึ้น และใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น
แต่ยังคงความสนุกในทุกการขับขี่ตามแบบฉบับเครื่องยนต์ 300 ซีซี.
 ข้อเสนอ SUMMER HOT DEAL!!! ราคาจำหน่าย 129,900 บาท
o ฟรี!! Voucher ส่วนลด 5,000 บาท
o ฟรี!! Front Shield มูลค่า 1,690 บาท

o ฟรี!! หมวกกันน็อคลายพิเศษ HORIZON300 PDM มูลค่า 1,590 บาท
o ฟรี!! ประกันภัยรถหาย 1 ปี มูลค่ากว่า 2,500 บาท
o ฟรี!! ค่าจดทะเบียน และ พ.ร.บ. มูลค่ากว่า 1,000 บาท

Horizon150 รถจักรยานยนต์ออโตเมติกขนาดเล็ก ได้รับการออกแบบในสไตล์ Modern Classic ตอบรับทุกความคล่องตัวในเมืองด้วยน้ำหนักตัวรถเพียง 118 กิโลกรัม ขับขี่มั่นใจวิ่งได้ต่อเนื่องด้วยถังน้ำมันขนาด 6.8 ลิตร
ตอบโจทย์ความอเนกประสงค์ทุกรูปแบบด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน
 ข้อเสนอ SUMMER HOT DEAL!!! ราคาจำหน่าย 72,900 บาท
o ฟรี!! Voucher ส่วนลด 10,000 บาท
o ฟรี!! หมวกกันน็อค Alpha V Special Collection มูลค่า 890 บาท
o ฟรี!! ประกันภัยรถหาย 1 ปี มูลค่ากว่า 2,000 บาท
o ฟรี!! ค่าจดทะเบียน และ พ.ร.บ. มูลค่ากว่า 1,000 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจรถจักรยานยนต์ดีไซน์ไม่ซ้ำใคร สะท้อนตัวตนอย่างโดดเด่น พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของและสามารถรับโปรโมชัน ALPHA VOLANTIS SUMMER HOT DEAL ได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 เมษายน 2567
ผ่านผู้แทนจำหน่ายและทุกช่องทางออนไลน์ของ ALPHA VOLANTIS

หมวดหมู่
Lormhuntuathai Motorcycle New Innovation News

พิมพ์ภัทราหนุนภาคเอกชนไทยสานต่อนโยบาย EV ของรัฐบาล

เอ็ม กรุ๊ป โฮลดิ้ง ประเทศไทย จับมือ เจียหลิง กรุ๊ป และ ทาลาเรีย พาวเวอร์ เทค ประเทศจีน

ขานรับผลิต E BIKE ตั้งไทยเป็นฐานส่งออกอาเซียน

วันที่ 24 มีนาคม 2567  นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว. อุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน “เปิดประสบการณ์ความท้าทายครั้งใหม่ กับ TALARIA THAILAND ” โดยในงานมีพิธีเซ็นสัญญาร่วมลงทุนระหว่าง บริษัท ทาลาเรีย อินดัสทรี (ประเทศไทย) จำกัด กับ บริษัท ฉงชิ่ง เจียหลิง-เจียเผิง อินดัสทรี จำกัด (ประเทศจีน) เพื่อผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (E-Bike) โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากหลายประเทศ เช่น จีน ลาว เมียนมา รวมถึงนางจีรนันท์ วงษ์มงคล ประธานสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา งานจัดขึ้นที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว. อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ประเทศไทยโชคดีที่มีการปรับตัวทางด้านเทคโนโลยีให้ทันยุคทันสมัย โดยเฉพาะเรื่องยานยนต์ไฟฟ้า ที่รัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนถึง จนถึงรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาตรการ EV 3.0 และมีการตอบรับในประเทศเป็นอย่างดีในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ยอดขายและกำลังซื้อเพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะปีที่แล้วยอดสูงเกือบ 70,000 คัน

รมว.อุตสาหกรรม กล่าววว่า ในส่วนของจักรยานยนต์ไฟฟ้า ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่รัฐบาลให้การสนับสนุน และไม่ตอบสนองเฉพาะคนในประเทศเท่านั้น แต่ยังเปิดรับนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย และได้ทำงานกันมาถึง 2 รัฐบาล ในการเตรียมความพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกทางด้าน พลังงานสะอาด โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งขนส่งทางรถ ทางราง และทางอากาศ ตลอดจนมาตรการช่วยเหลือนักลงทุน ที่ทั้งนายกรัฐมนตรี บีโอไอ และกระทรวงอุตสาหกรรม เราทำไปพร้อม ๆ กัน วันนี้เราจึงเห็นนักลงทุน โดยเฉพาะจากประเทศจีนเข้ามาตั้งฐานการผลิตมากขึ้นเรื่อย ๆ จากความเชื่อมั่นดังกล่าว ท่านนายกฯ เศรษฐา คาดการณ์ว่าปีนี้การลงทุนน่าจะแตะถึง 1 ล้านล้านบาท ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของการทำธุรกิจ ที่ยังคงรักษาโลกใบนี้ให้สวยงาม ส่งต่ออากาศบริสุทธิ์สะอาด และนวัตกรรมสีเขียวให้กับรุ่นลูก รุ่นหลานของเราต่อไป

นายหวัง ฟ่าน ประธานกรรมการ และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ทาลาเรีย พาวเวอร์ เทค เมื่อ พ.ศ. 2563 กล่าวว่า ทาลาเรียมุ่งเน้นการผลิตและจำหน่ายจักรยานยนต์ผ่านการวิจัยและพัฒนาอย่างเข้มข้น สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งในปัจจุบัน ถือเป็น “ซิลิคอนวัลลีย์” แห่งการผลิต E-Bike ทาลาเรียเป็นแบรนด์ที่มีอายุน้อยแต่มีพลวัตสูง ได้รับการรับรองจากผู้ค้าและผู้ขับขี่ยานพาหนะทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปในเวลาอันรวดเร็ว กลายเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ การร่วมมือกับบริษัท เอ็ม กรุ๊ป โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) ถือเป็นการตั้งฐานการผลิตนอกประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อทำหน้าที่ดูแลตลาดผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของทาลาเรียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“ในอนาคต ฐานการผลิตใหม่ของทาลาเรียจะกลายเป็นศูนย์กลางสำหรับนวัตกรรมและความเป็นเลิศด้านการผลิต และเป็นศูนย์กลางสำหรับการทำงาน การแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน พวกเรามีความคิดที่จะทำงานร่วมกับชุมชนในพื้นที่ สถาบันการศึกษา และองค์กรการวิจัย เพื่อสร้างเสริมวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้อนาคต” นายหวัง ฟาน กล่าว 

นายลี่ ซื่อ หลิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาลาเรีย อินดัสทรี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าต้องขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใช้พลังงานสะอาด รวมถึงมีมาตรการอุดหนุนผู้บริโภคสำหรับซื้อยานยนต์ไฟฟ้าในราคาไม่แพง ทาลาเรียประเทศไทยตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2566 อยู่ในบางกอกฟรีเทรดโซนซึ่งได้รับเป็นเขตอุตสาหกรรมโดยกระทรวงอุตสาหกรรม อีกไม่นานนี้ทาลาเรียจะมีศูนย์จำหน่ายและบริการ 300 แห่งทั่วกลุ่มประเทศอาเซียน สามารถส่งผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าในระยะเวลา 10 – 15 วันเท่านั้น 

“ทาลาเรียมีการวิจัยและพัฒนาโดยผสมผสานเทคโนโลยีจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ทันสมัยที่สุดเข้ากับกระบวนการผลิตที่ทันสมัยที่สุดจึงได้อีไบค์ที่มีน้ำหนักเบา สมรรถนะสูง ความคล่องตัวสูง และเร้าใจในทุกพื้นผิวการขับขี่ โดยอีไบค์ที่ได้พัฒนาออกมาใหม่ล่าสุดมี 2 รุ่นใหญ่ๆ ได้แก่ Sting และ xXx  ซึ่งทั้ง Sting และ xXx จะมีรุ่นย่อยลงไปอีกหลายรุ่น ทั้งหมดผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO9001 มาตรฐาน CE และ E-mark ของยุโรป รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัย UL ของสหรัฐอเมริกา” นายลี่ ซื่อ หลิน ระบุ

นายเกอ ฟง ประธานกรรมการ บริษัท ฉงชิ่ง เจียหลิง-เจียเผิง อินดัสทรี จำกัด (ประเทศจีน)

กล่าวว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้ทุ่มเทให้กับการค้นคว้าวิจัย พัฒนา และผลิตรถจักรยานยนต์ที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก เราพร้อมแบ่งปันผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำงานร่วมกับบริษัทที่มีฐานการตลาดในประเทศจีนรวมถึงทั่วโลก การร่วมมือกันสามารถเกิดขึ้นได้เพราะการพัฒนาร่วมกันระหว่างทั้งสองฝ่ายมาโดยตลอด ทำให้เกิดโครงการความร่วมมือเชิงลึกมากมาย และเกิดพันธมิตรความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายในที่สุด

นางสาวภิญญ์ชยุตม์ อัครกุลศานต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็ม กรุ๊ป โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้ร่วมลงทุนและเป็นหนึ่งในกรรมการบริหาร บริษัท ทาลาเรีย อินดัสทรี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เอ็มกรุ๊ปทำธุรกิจโดยยึดโมเดลเศรษฐกิจ BCG นั่นคือเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว จึงได้ลงทุนในการทำธุรกิจยานพาหนะที่ใช้พลังงานสะอาดกับบริษัททาลาเรียของจีน เพราะเทคโนโลยี EV ของจีนนั้นเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก ในส่วนของ E-Bike หรือจักรยานยนต์ไฟฟ้านั้นในประเทศไทยมีให้เห็นตามท้องถนนบ้างแล้วแต่จักรยานยนต์ประเภทออฟโร้ดที่มีน้ำหนักเบานั้นยังแทบไม่มี และทาลาเรียที่ส่งออกจักรยานยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้ไปทั่วโลกคือคำตอบที่ลงตัวที่สุดในการร่วมลงทุน

“เราต้องการเป็นผู้นำในการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ขับขี่ชาวไทยหันมาใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้ากันให้มากขึ้น เพื่อคุณภาพของสุขภาพร่างกาย เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม” นางสาวภิญญ์ชยุตม์ กล่าว และเสริมว่าเอ็มกรุ๊ปยังมีบริษัทเกี่ยวกับจุลินทรีย์ชีวภาพเพื่อการเกษตรและบริษัทเกี่ยวกับการกำจัดของเสียและแปรรูปสิ่งของเหลือใช้เพื่อส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมอยู่แล้วด้วย 

สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของทาลาเรียประเทศจีน ใน พ.ศ. 2566 มียอดจำหน่าย

ในสหรัฐอเมริกา 13,542 คัน แคนาดา 10,732 คัน อิตาลี 9,785 คัน เยอรมนี 9,468คัน  ฝรั่งเศส 8,704คัน   สหราชอาณาจักร 8,594 คัน และประเทศในสหภาพยุโรปอื่นๆ 3,632 คัน ตะวันออกกลาง 431 คัน แอฟริกาตะวันตก 248 คัน ประเทศในอเมริกาใต้ 206 คัน ซึ่งถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากจากทั่วโลก.

หมวดหมู่
Lormhuntuathai New Innovation News

วช. เผยแนวโน้มสถานการณ์น้ำ ปี 67 – 68 สามารถรับมือภัยแล้งได้ดียิ่งขึ้น

วันที่ 12 มีนาคม 2567 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตระหนักถึงสถานการณ์น้ำที่แปรปรวน การปรับเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วม น้ำแล้ง สลับกันไป จึงมีงานวิจัยที่ช่วยในการเพิ่มความถูกต้องในการทำนาย จำลองสภาพล่วงหน้า ช่วยในการตัดสินใจ และเตรียมตัว รับมือกับภัยแล้ง และภัยน้ำท่วมได้ดียิ่งขึ้น วช. จึงจัดให้มีการแถลงข่าว “แนวโน้มสถานการณ์น้ำ 67 – 68 และมาตรการการปรับตัว” โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานในการเปิดงานและชี้แจงวัตถุประสงค์ พร้อมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้บริหาร วช. ซึ่งมี รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ประธานบริหารแผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานบริหารจัดการน้ำ ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน ดร.ชลัมภ์ อุ่นอารีย์ นักวิจัยศูนย์ภูมิอากาศ กองพัฒนาอุตุนิยมวิทยา กรมอุตุนิยมวิทยา ดร.กนกศรี ศรินนภากร หัวหน้างานภูมิอากาศและสภาพอากาศ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ผศ. ดร.ไชยาพงษ์ เทพประสิทธิ์ และผศ. ดร.จุติเทพ วงษ์เพ็ชร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมการแถลงข่าวซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศกลางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ชั้น 1 อาคาร วช. 8 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ภายใต้กระทรวง อว. ในฐานะหน่วยงานบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์แผนงานสำคัญของประเทศ มุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือในการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน เพื่อให้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมสามารถสนับสนุนการป้องกัน แก้ไขปัญหาที่เป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเด็นการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ วช. ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบ โครงการ แผนงาน และแผนงานชุดโครงการขนาดใหญ่ หรือแผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานบริหารจัดการน้ำ ที่มี รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ เป็นประธานบริหารแผนงาน การจัดงานในครั้งนี้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำของประเทศ อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กรมชลประทาน และนักวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก วช. ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานบริหารจัดการน้ำ เพื่อบูรณาการภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำรวมถึงการขับเคลื่อนสังคมและสร้างวัฒนธรรมรักษ์น้ำและการประหยัดน้ำ เพื่อให้สามารถผลักดัน ขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรม ให้ไปสู่การใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม

ดร.กนกศรี ศรินนภากร สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และ ดร.ชลัมภ์ อุ่นอารีย์ กรมอุตุนิยมวิทยา ให้ข้อมูลว่าจากการคาดการณ์พบว่าใน และปีหน้าจะเริ่มเข้าสู่ภาวะลานีญาช่วงต้นปี พ.ศ. 2567 ฝนจะน้อย โดยฝนจะตกมากในช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน โดยจะมีแนวโน้ม 2 รูปแบบ คือ ลานีญาแบบปกติ หรือลานีญาแบบอ่อนเป็นเวลาประมาณ 2 ปี ก่อนที่จะกลับมาแล้งอีกในปี พ.ศ. 2571 การบริหารปริมาณน้ำในเขื่อนจึงต้องวางแผนล่วงหน้า 2 ปี และ ควรประเมินสถานการณ์น้ำตามตำแหน่งของพื้นที่ซึ่งได้รับน้ำจากฝนทุก 2 เดือน

ผศ. ดร.จุติเทพ วงษ์เพ็ชร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวเพิ่มเติม แบบจำลองปริมาณน้ำท่าในปี 2567-2568 มีความเป็นไปได้ 3 รูปแบบ คือ รูปแบบที่ 1 หากช่วงฤดูฝนของปี 2567 มีการพัฒนาเข้าสู่สภาวะลานีญารุนแรง จะทำให้ปริมาณน้ำ สูงถึง 14,000 ล้าน ลบ.ม. รูปแบบที่ 2 หากช่วงฤดูฝนของปี 2567 มีการพัฒนาเข้าสู่สภาวะลานีญาอ่อน จะทำให้ปริมาณน้ำมีประมาณ 6,000 – 8,000 ล้าน ลบ.ม. และรูปแบบที่ 3 หากในช่วงฤดูฝนของปี 2567 สภาวะลานีญาอยู่ในระดับปกติ และในปี 2568 ปริมาณน้ำจะอยู่ที่ระดับประมาณ 6,000 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเชื่อมโยงถึงการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทานและแนวทางการปรับตัวของภาคเกษตร โดย ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ กรมชลประทาน และ ผศ. ดร.ไชยาพงษ์ เทพประสิทธิ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งกรมประทานได้นำข้อมูลจากการพยากรณ์เหล่านี้มาพิจารณาร่วมกับปริมาณน้ำจริงในอ่างเก็บน้ำ ช่วงเดือนพฤษภาคมก่อนเข้าจะเข้าฤดูฝนตามการคาดการณ์ ปริมาณน้ำกักเก็บที่เพียงพอต่อการ อุปโภค บริโภค และสิ่งแวดล้อมในประเทศคือ ประมาณ 4,000 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งหากกักเก็บน้ำได้มากกว่าจะเป็นน้ำส่วนที่นำส่งเพื่อการเกษตร แต่ในส่วนนอกเขตชลประทานจะต้องมีการเตรียมตัวเพื่อลดผลกระทบเมื่อฝนทิ้งช่วง เช่น การเพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำ การใช้เทคโนโลยีในการให้น้ำ การปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้น้ำพืช การปรับเปลี่ยนรูปแบบการเพาะปลูก

รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ สรุปการแถลงข่าวครั้งนี้จึงเป็นการเสนอการคาดการณ์ และทางออกของการจัดการปัญหาด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในการบริหารจัดการน้ำเพื่อตั้งเป้าหมาย ลดความเสี่ยง ลดความเสียหาย ยั่งยืนแบบยืดหยุ่น รวมทั้งสร้างการรับรู้และเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในการปรับพฤติกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและสถานการณ์น้ำใน ปี 67 – 68

หมวดหมู่
Lormhuntuathai New Innovation News

Jobsdb by SEEK เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ ตอบโจทย์

“Better Matches” จับคู่คนที่ใช่กับงานที่ชอบ ด้วย AI ระดับโลกจาก SEEK

12 มีนาคม 2567 Jobsdb by SEEK หนึ่งในบริษัทภายใต้ SEEK  แพลตฟอร์มหางานระดับโลกจากประเทศออสเตรเลีย เปิดกลยุทธ์แตกต่างแต่เข้าถึงให้กับผู้ประกอบการและผู้หางาน ผ่าน 3 กลยุทธ์ Better Matches – Better Experience – Better Advice พร้อมปลดล็อกประสบการณ์การสรรหาบุคลากรที่ดีกว่าเคยผ่าน AI ด้วย Unified แพลตฟอร์ม ของ SEEK ที่เชื่อมต่อกับผู้สมัครและผู้ประกอบการหลายล้านทั่วเอเชีย ณ “The Empire Residence” ชั้น 53  ตึกเอ็มไพร์ทาวเวอร์

หลังจากที่ Jobsdb by SEEK ได้เข้าร่วมกับ SEEK แพลตฟอร์มหางาน Tech Company ระดับโลกที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ประเทศออสเตรเลีย ในปี 2011 และครอบคลุมกว่า 8 ประเทศ ทั่วเอเชียแปซิฟิก  ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกง ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซียและสิงคโปร์ รวมถึงขยายกิจการไปยังแถบลาติน-อเมริกา ได้แก่ บราซิลและเม็กซิโก ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับผู้สมัครกว่า 40 ล้านคน และผู้ประกอบการกว่า 2.5 ล้านราย ในเอเชียแปซิฟิก รวมถึงเทคโนโลยีและมาตรฐานการทำงานที่เป็นสากล และเพื่อให้ทันยุคเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบัน SEEK ได้นำเอา Technology AI เข้ามาช่วยในการจับคู่งานและผู้หางานให้ลงตัวยิ่งขึ้น ภายใต้คำว่า “Better Matches” ทำให้คนที่หางานได้พบงานที่ใช่ เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการ ส่วนผู้ประกอบการสามารถหาผู้สมัครที่ตรงใจได้เร็วขึ้น

ซึ่งผ่านมากว่า 10 ปี กว่าจะเกิด Unification Program ของ SEEK ทั้งหมดเข้าด้วยกันนี้ นับจากที่ได้รวมเอา Jobsdb และ Jobstreet มาอยู่ภายใต้ SEEK และใช้เวลาในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ กว่า 3 ปี เงินลงทุนกว่า 4,220 ล้านบาท (หรือ 180 ล้าน ดอลล่าร์ออสเตรเลีย)

                Mr. Lewis NG Chief Operating Officer, SEEK Asia  (มร. ลูอิส เอิง กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ซีค เอเชีย) เปิดเผยถึง การรวมแพลตฟอร์มนี้ว่า “สำหรับ SEEK ทุกสิ่งที่เราทำล้วนแล้วแต่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกแง่มุม การรวมเป็นแพลตฟอร์มเดียวกันได้ นั่นหมายถึงเราสามารถที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์สินค้าของเราไปสู่ประชาชนทั่วเอเชียหลายล้านคน ในรูปแบบใหม่ และนั่นจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถค้นหางานและบุคลากรที่ตรงใจได้ง่าย สะดวกมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้ทำให้ SEEK มีจุดยืนที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมและเรายังได้บรรลุเป้าหมายในการช่วยเหลือผู้คนกว่า 500 ล้านคน ได้พัฒนาเส้นทางอาชีพของตนภายใต้องค์กรกว่า  5 ล้านแห่งในภูมิภาคนี้

คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK เผยว่า อัตราการจ้างงานในครึ่งแรกของปี 2024 มีโอกาสเติบโตมากขึ้นถึงร้อยละ 54 คาดการณ์จากค่าเฉลี่ยจำนวนของประกาศงานบนเว็บไซต์ Jobsdb ต่อเดือนที่สูงขึ้นร้อยละ 59 และผู้ประกอบการที่มีความต้องการที่จะจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติแสดงให้เห็นว่าอัตราผู้ว่างงานในประเทศไทยต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลต่ออัตราการซื้อพื้นที่เพื่อลงประกาศงานในแพลตฟอร์มจัดหางานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28 โดยผู้ประกอบการต่างมองหาวิธีจ้างงานได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ด้านผู้สมัครงานก็มองหาวิธีที่ทำให้ตนเองโดดเด่นขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดแรงงานที่ดุเดือด

Jobsdb by SEEK เล็งเห็นความสำคัญในประเด็นนี้ จึงได้เปิดกลยุทธ์ทางการตลาดที่แตกต่างแต่เข้าถึงให้กับผู้ประกอบการและผู้หางาน ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.Better Matches ช่วยจับคู่การจ้างงานให้ได้คนที่เหมาะสมอย่างง่ายและรวดเร็วด้วยความฉลาดของ AI ในการค้นหา แนะนำและช่วยการคัดเลือกผู้สมัครที่เหมาะสม 2.Better Experience การจ้างงานไร้รอยต่อทั่วเอเชียแปซิฟิก พร้อมเข้าถึงกว่า 40 ล้านคนที่เป็นบุคลากรระดับเวิร์ลคลาส โดยผู้ประกอบการสามารถเพิ่มโอกาสในการค้นหาผู้หางานได้ทุกประเทศในเครือ SEEK 3.Better Advice กลยุทธ์เชิงรุกที่เพิ่มประสิทธิภาพในการสรรหาบุคลากรด้วยข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์ของ SEEK ที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับประกาศงานและค่าใช้จ่าย เข้าใจ Demand และ Supply ของตำแหน่งงาน   รวมถึงรายงานจากแบบสำรวจและคำแนะนำในการจ้างงานที่เป็นประโยชน์ ช่วยให้การสรรหาเป็นเรื่องง่ายและสามารถนำไปปรับให้เข้ากับกลยุทธ์การจ้างงาน

Mr. Neeraj Goswami Head of Product, SEEK  (มร.นีราช กอสวามี ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ระดับภูมิภาค) ซีค เผยว่า SEEK มี เป้าหมายที่จะยกระดับประสบการณ์การสรรหาและจ้างงานบุคลากรที่ต้องการให้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น บนการรวมแพลตฟอร์มในครั้งนี้ด้วยเทคโนโลยี AI จาก SEEK ที่มีฐานข้อมูลครอบคลุมทั้งเอเชียแปซิฟิกตลอดระยะเวลากว่า 25 ปี พร้อมด้วยทีมงานมากกว่า 200 คน ที่ดูแลภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกนี้ จึงนับเป็นประโยชน์ต่อ Jobsdb by SEEK อย่างมากโดยข้อมูลที่นำมาใช้งานยังได้มีการปรับปรุงให้เหมาะกับอินไซด์ของประเทศไทยด้วยเช่นกัน สำหรับ Unification Program ของ SEEK พร้อมแล้วที่จะให้คำแนะนำที่ล้ำกว่าเดิมสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มคุณภาพในการสรรหาบุคลากรและเป็นต่อเหนือคู่แข่ง อาทิ การวิเคราะห์ข้อมูลที่อัปเดตผ่านแดชบอร์ด การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของประกาศงานกับคู่แข่งและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้สมัคร การให้คำแนะนำในการปรับปรุงประสิทธิภาพของประกาศงาน นอกจากนี้ระบบ Unification ยังได้เปิดให้บริการอีก 3 ส่วน ได้แก่ 1. AI Smarter Search ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมการค้นหาของผู้สมัครในอดีตเพื่อแสดงตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องมากขึ้นให้กับผู้สมัคร ซึ่งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 โดยการใช้ AI ร่วมกับข้อมูลเชิงลึกของตลาดและข้อมูลของ SEEK 2. ปรับปรุงโปรไฟล์ของผู้สมัครและเสริมเครื่องมือในการแนะนำเพื่อส่งผลลัพธ์ในการจับคู่ผู้สมัครกับงานที่ดีกว่าเดิม และ 3.คำถามสำหรับผู้สมัครงาน แนะนำโดย AI เพื่อคัดกรองผู้สมัครที่ใช่ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

การรวมกันของแพลตฟอร์มจาก SEEK ในครั้งนี้เป็นการช่วยแนะนำผู้สมัครที่ตรงความต้องการของผู้ประกอบการ ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยี AI นี้ ยังช่วยให้ผู้สมัครที่มีคุณสมบัติตรงตามเนื้องานที่มีการเปิดรับอยู่สามารถมองเห็นโอกาสได้มากยิ่งขึ้น ด้วยการค้นหาโดยใช้ภาษาสนทนาที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ได้อีกด้วย  

หมวดหมู่
News

โตโยต้า ต่อยอดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ปีที่ 17 เดินหน้าขยายความร่วมมือกับทุกภาคส่วน สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน

นายวัฒนา เจริญจิตร นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ  พลตรี ธวัช ชาลีรัตน์ รองเจ้ากรมพลาธิการทหารบก  และ นายสมคิด ประดิษฐกำจรชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของโตโยต้า บริษัทในเครือฯ ผู้ผลิตชิ้นส่วนโตโยต้า ผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า ตลอดจนหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมปลูกพันธุ์ไม้ชายเลนจำนวน 50,000 ต้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่ง ในการมุ่งสู่เป้าหมาย สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายใต้กิจกรรม “โตโยต้าปลูกป่าชายเลน ปีที่ 17” ณ สถานตากอากาศบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2567

หนึ่งในพันธกิจที่สำคัญของโตโยต้าคือการ สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)  ผ่านการจัดการ กระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การผลิตชิ้นส่วน การขนส่ง การผลิตในโรงงานการจำหน่าย จนถึงการกำจัดเมื่อหมดอายุการใช้งาน ควบคู่ไปกับ การเตรียมความพร้อม ในหลากหลายแนวทาง (Multi Pathways) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมสู่สังคมไทย ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึง การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมจำนวนกว่า 2,600,000 ต้น สามารถดูดซับ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 27,950* ตันต่อปี

โตโยต้า ปลูกป่าชายเลน เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 จากความร่วมมือระหว่าง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ กรมพลาธิการทหารบก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ มูลนิธิสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ FEED โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลนบางปู ซึ่งเป็นป่าชายเลน ปากแม่น้ำผืนสุดท้ายของภาคกลาง ให้มีความอุดมสมบูรณ์ มีสภาพเหมาะแก่การอยู่อาศัยของสัตว์ ในระบบนิเวศชายเลน และเป็นการเปิดโอกาสให้อาสาสมัครจากภาคส่วนต่างๆ ตลอดจนภาคประชาชน ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สร้างจิตสำนึกคนไทยให้ตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อมและความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ

กิจกรรม โตโยต้า ปลูกป่าชายเลน ปีที่ 17 ในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัคร กว่า 2,000 คน ประกอบด้วย กลุ่มพนักงานโตโยต้าและครอบครัว สมาชิกชมรมโตโยต้าจิตอาสา ตัวแทนจากบริษัทในเครือ สมาชิกเครือข่าย Facebook Toyota Happiness Club  สมาชิก e-TOYOTACLUB  ผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า ผู้ผลิตชิ้นส่วน ตลอดจนตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐในจังหวัดสมุทรปราการ กองทัพบก และประชาชน ที่มาร่วมแรงร่วมใจปลูกพันธุ์ไม้ชายเลน 50,000 ต้น ส่งผลให้ตลอดระยะเวลา การดำเนินกิจกรรมที่ผ่านมา โตโยต้าได้ปลูกป่าชายเลนในพื้นที่บางปูไปแล้ว 792,800 ต้น

โตโยต้าเชื่อมั่นว่าการจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ไม่สามารถเป็นไปได้ ด้วยความพยายามของคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกคน โดยกิจกรรมนี้ เป็นอีกหนึ่งในความพยายาม ภายใต้โครงการ “โตโยต้า เมืองสีเขียว” ที่มุ่งขยายความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมทั่วประเทศ อาทิ โครงการชุมชนสิ่งแวดล้อมยั่งยืน เพื่อพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อม
อันเป็นส่วนหนึ่งที่จะสนับสนุนประเทศไทย มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 
2050