หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

เปอโยต์-จี๊ป ประเทศไทย เปิดแผนธุรกิจรับปีมังกร เตรียมเปิดตัว ยนตรกรรมสุดเร้าใจ ในงานมอเตอร์โชว์ พร้อมจัดหนักรับประกันคุณภาพ 7 ปี รถยนต์รุ่นใหม่

เปอโยต์ และ จี๊ป ประเทศไทย ภายใต้บริษัท เบลฟอร์ต ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์รถยนต์ฝรั่งเศส เปอโยต์ และ จี๊ป ราชาออฟ-โรด สัญชาติอเมริกัน อย่างเป็นทางการในประเทศไทย แถลงผลประกอบการปี 2566 ปลื้ม เปอโยต์-จี๊ป ส่งมอบลูกค้าสะสม รวมกว่า 2,100 คัน เปิดแผนปี 2567 ตั้งเป้าทำยอดขายรวมกว่า 1,000 คัน คึกคักรับข่าวดี บริษัทแม่ สเตลแลนทิส จับมือ ลีปมอเตอร์ ทุ่มกว่า 58,000 ล้านบาท สร้างโอกาสธุรกิจสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมเตรียมเปิดตัว เปอโยต์ 3 รุ่นใหม่, ‘ออล-นิว จี๊ป แกรนด์ เชอเรอกี ซัมมิท รีเสิร์ฟ โฟร์บายอี’ และ ‘นิว จี๊ป แรงเลอร์ รูบิคอน (Minor Change)’ ในงานมอเตอร์โชว์ ที่มาพร้อมการรับประกันคุณภาพสูงสุดถึง 7 ปี และรับประกันแบตเตอรี่ สูงสุดถึง 8 ปี ตอกย้ำความมั่นใจ เปอโยต์ ผนึกกำลัง เอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ ขยายเครือข่ายศูนย์บริการครบวงจร ครอบคลุมทั่วประเทศ

สุนทรพันธ์ เดชะเทศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปอโยต์ และ จี๊ป ประเทศไทย เผยว่า “นับตั้งแต่แบรนด์รถยนต์ เปอโยต์ และ จี๊ป ภายใต้การบริหารของ เบลฟอร์ต ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ได้เข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์การเดินทางของคนไทย ไม่ว่าจะเป็น เปอโยต์ รุ่น 2008, 3008 และ 5008 แบบ 7 ที่นั่ง ดีไซน์สวยเฉียบ สมรรถนะเยี่ยม อีกทั้งรุ่น นิว 408 GT และ จี๊ป ราชาออฟ-โรด 2 รุ่นยอดนิยม แรงเลอร์ รูบิคอน, กลาดิเอเตอร์ รูบิคอน รวมถึงรุ่นล่าสุดที่กำลังเป็นที่กล่าวขานถึง อย่าง All-New Jeep Grand Cherokee Summit Reserve 4xe (ปลั๊ก-อิน ไฮบริด) พร้อมบริการหลังการขายครบวงจร โดยภาพรวมยอดขายรถยนต์ทั้งสองแบรนด์ตลอดปีที่ผ่านมา เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งจากเสียงตอบรับนี้ ในปี 2567 เราจึงได้เตรียมแผนเดินหน้าขยายตลาด โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า สอดรับกับทาง สเตลแลนทิส ที่จับมือลีปมอเตอร์ หนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับยานยนต์พลังงานใหม่ของจีน เพื่อนำเสนอ ยนตรกรรมไฟฟ้า อีกทั้งเปิดโอกาสสำหรับแบรนด์ใหม่ๆ ในอนาคต ทั้งหมดนี้จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ และสร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนให้กับทั้งสองแบรนด์ ดังวิสัยทัศน์ปี 2567-2569 การเป็นหนึ่งในผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ไลฟไตล์ พรีเมียม แมส ชั้นนำของประเทศ ด้วยการมุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) และความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ (Customer Satisfaction)”

++เปอโยต์ เอสยูวี 3 รุ่น อีกทั้ง Special editions และ จี๊ป รุ่นยอดนิยม ส่งมอบรถไปแล้ว รวม 2,108 คัน พร้อมตั้งเป้ารวม 1,000 คัน ในปีนี้

ความสำเร็จจากการขาย เปอโยต์ เอสยูวี 3 รุ่น พร้อมกับ Special editions ไม่ว่าเป็น La France edition หรือ De Nouveau Edition ที่เป็นการเพิ่มความคุ้มค่าและทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าพรีเมียม ด้วยยอดขายกว่า 400 คัน โดยมียอดขายสะสม รวมกว่า 2,000 คัน ขณะที่ยอดขาย จี๊ป น่าพอใจ ปี 2566 ทำได้ 62 คัน เติบโตถึง 35% และมียอดขายสะสม 108 คัน ในช่วงเวลาเพียง 2 ปี จากความมั่นใจของลูกค้า และยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการเปิดตัว เปอโยต์ และ จี๊ป หลากรุ่น คาดว่าปีนี้ น่าจะเติบโตรวมกว่า 100% กับยอดขายรวมกว่า 1,000 คัน

++เปิดแผนปี 2567 กระตุ้นตลาดด้วยรถรุ่นใหม่ พร้อมยกระดับราคาขายต่อ ด้วย Peugeot Approved and Certified Used Car

รุกตลาดต่อเนื่อง เปอโยต์ เตรียมเปิดตัวรถยนต์ 3 รุ่น นำทัพโดย นิว เปอโยต์ 408 GT แบ่ง 2รุ่นย่อย คือ Allure และ Allure Plus พร้อมเปิดตัวอีก 2 รุ่นในอนาคต มีกำหนดเปิดตัวภายในปีนี้ ส่วนสาวกรถยนต์พันธุ์แกร่ง จี๊ป ที่ตั้งตารอเอสยูวีโฉมใหม่ เตรียมสัมผัส All-New Jeep Grand Cherokee Summit Reserve 4xe (ปลั๊ก-อิน ไฮบริด) พร้อมด้วย นิว จี๊ป แรงเลอร์ รูบิคอน (Minor Change) ในงานมอเตอร์โชว์ นอกจากนี้ เปอโยต์ ยังมีแผนยกระดับราคาขายต่อ ด้วยโปรแกรม Peugeot Approved and Certified Used Car ที่มาพร้อมการันตีคุณภาพ เพื่อกระตุ้นตลาด และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

  ++โอกาสธุรกิจสดใส สเตลแลนทิส ผนึก ลีปมอเตอร์ ทุ่มกว่า 58,000 ล้านบาท รุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า รับกระแส EV บูม

ปีที่ผ่านมา สเตลแลนทิส ผู้ถือครองแบรนด์ เปอโยต์ และ จี๊ป จับมือ ลีปมอเตอร์ หนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับยานยนต์พลังงานใหม่ของจีน ร่วมแถลงการณ์ครั้งสำคัญ โดย สเตลแลนทิส มีแผนจัดสรรงบประมาณกว่า 58,000 ล้านบาท เป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของ ลีปมอเตอร์ ประมาณ 20% ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจในเครือ สเตลแลนทิส โดยเฉพาะช่วยเพิ่มศักยภาพในการผลิตและจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม โดยเน้นความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ด้วยทางเลือกอันหลากหลายมากยิ่งขึ้น

++ลุยกิจกรรมทางการตลาดเข้มข้น พร้อมขยายการรับรู้ผ่านการสื่อสาร

เปอโยต์ และ จี๊ป มุ่งสร้างการรับรู้ผ่านการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง พร้อมกิจกรรมทางการตลาดอันหลากหลาย อาทิ ร่วมในมหกรรมยานยนต์ระดับประเทศ, การประชาสัมพันธ์ผ่านผู้มีชื่อเสียง, การทำกิจกรรมเพื่อสังคม,  กิจกรรม JOC Meet และ Jeep 101 Academy เป็นต้น นอกจากนี้ มีการร่วมทำแคมเปญพิเศษกับแบรนด์ สัญชาติอเมริกันอย่าง ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน และเรือสันทนาการ คริส-คราฟท์ รวมไปถึงความร่วมมือระหว่าง จี๊ป กับ ซิกท์ รถเช่าประเทศไทย

++อุ่นใจด้วยการรับประกันคุณภาพสินค้า สูงสุดถึง 7 ปี และรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 8 ปี

เปอโยต์ และ จี๊ป ประเทศไทย สร้างความอุ่นใจด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ นานสูงสุดถึง 7 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร* ให้รุ่นใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ อาทิ นิว เปอโยต์ 408 GT408 Allure, 408 Allure Plus,  นิว จี๊ป แรงเลอร์ รูบิคอน (Minor Change) และ จี๊ป ออล-นิว แกรนด์

เชอเรอกี รวมถึงการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดในรุ่น จี๊ป ออล-นิว แกรนด์ เชอเรอกี นานสูงสุด 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร* ขณะที่ลูกค้าเดิมก็สามารถซื้อการขยายการรับประกันนี้เพิ่มเติมได้เช่นกัน

++เปอโยต์ และ จี๊ป ประเทศไทย มุ่งขยายเครือข่าย และบริการหลังการขาย ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

ปัจจุบัน เปอโยต์ มีเครือข่ายโชว์รูมพร้อมบริการหลังการขายครบวงจร 9 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ เกษตร-นวมินทร์, เยาวราช, สุขุมวิท, วงเวียนพระราม 5-ราชพฤกษ์, อุบลราชธานี, หาดใหญ่, ภูเก็ต, พัทยา และล่าสุด ‘เชียงใหม่ ออโต้’ เครือข่ายแห่งแรกในภาคเหนือ นอกจากนี้ ยังได้ผนึกกำลังกับ เอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการซ่อมบำรุงรถยนต์แบบครบวงจร ภายใต้ชื่อ ‘PEUGEOT SERVICE OUTLET’ เพื่อให้บริการหลังการขาย อีก 13 สาขา แบ่งเป็น กรุงเทพมหานคร 10 สาขา ได้แก่ พระราม 4, งามวงศ์วาน, ลำลูกกา, รังสิต, เพชรเกษม, รามคำแหง, คู้บอน, พุทธบูชา, กาญจนาภิเษก และศรีนครินทร์ และอีก 3 สาขาในต่างจังหวัด ได้แก่ ระยอง, อุบลราชธานี และภูเก็ต

ส่วน จี๊ป เริ่มจากสาขาสุขุมวิท โดยในปี 2566 ได้ขยายเพิ่มอีก 3 สาขา ได้แก่ วงเวียนพระราม 5-ราชพฤกษ์, พัทยา และเชียงใหม่ สาขาล่าสุด นอกจากนี้ ยังเตรียมปักหมุดในต่างจังหวัดเพิ่มอีก 4 สาขา คือ อุดรธานี, ขอนแก่น, นครราชสีมา และอุบลราชธานี พร้อมกับการเปิดโอกาสสำหรับผู้ที่สนใจจากทั่วประเทศ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับทั้งสองแบรนด์ เพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

สอบถามข้อมูล โทร. ‘1488 ALWAYS CONNECTED’ ทั้ง จี๊ป และ เปอโยต์ โทร. เบอร์เดียว  

LINE: @peugeotthailand, FACEBOOK: Peugeot Thailand,WEBSITE: www.peugeot.co.th

LINE: @jeepthailand, FACEBOOK: JeepThailand, WEBSITE: www.jeep.co.th

หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

ซัมมิท ฮอนด้า ออโต้โมบิล ฉลองเทศกาลตรุษจีน เฮงรับทรัพย์รับแผ่นทองมงคล องค์เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย เสริมสิริมงคลต้อนรับปีมังกร ณ MGC-ASIA AUTO GALLERIA ชั้น 2ศูนย์การค้าดิ เอ็มสเฟียร์ และโชว์รูมซัมมิท ฮอนด้า ทุกสาขา วันนี้ ถึง10กุมภาพันธ์ 2567

ซัมมิท ฮอนด้า ออโตโมบิล ผู้แทนจำหน่าย รถยนต์ ฮอนด้า อย่างเป็นทางการ ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA ฉลองเทศกาลตรุษจีน เฮงรับทรัพย์ รับแผ่นทองมงคล องค์เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย ที่ผ่านการปลุก ณ วัดหวังต้าเซียน ฮ่องกง เสริมสิริมงคลต้อนรับปีมังกร พร้อมรับข้อเสนอพิเศษเมื่อจองรถยนต์วันนี้ ถึง 10 กุมภาพันธ์ และรับรถภายในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ MGC-ASIA AUTO GALLERIA ชั้น 2 ศูนย์การค้า
ดิ เอ็มสเฟียร์ และโชว์รูมซัมมิท ฮอนด้า ทุกสาขา
All-new Honda Accord e:HEV และ All-new Honda CR-V e:HEV

  • ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.99%*
  • ฟรีประกันภัย 1 ปี
    All-new Honda CR-V Turbo
  • ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.99%*
  • ฟรีประกันภัย 1 ปี
  • ฟรีบัตรน้ำมัน 20,000 บาท*
    All-new Honda Civic e:HEV
  • ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0%*
  • ฟรี Honda Exclusive Care*
  • ประกันภัย 1 ปี*
  • แพ็กเกจเช็กระยะ ค่าแรง ค่าอะไหล่ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร*
  • ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ ขยายเวลารับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่
    และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชม. เป็น 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร*

– รับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี* (เฉพาะรุ่น e:HEV)

สอบถามข้อมูลโทร. 1334 Summit Honda Connect เบอร์เดียวได้ครบทุกบริการ
FACEBOOK: Summit Honda
LINE: Summithonda
IG: @summithonda
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

GAC AION จัดหนักลดราคา AION Y Plus 490 Premium เหลือ 999,900 บาท สู้ศึกรถอีวี  

GAC AION เปิดตัว AION Y Plus 490 Premium ที่งาน Thailand International Motor Expo 2023 หั่นราคาสู้ศึกรถอีวีลง 100,000 บาท เหลือ 999,900 บาท ถึงวันที่ 11 ธ.ค.นี้ พร้อมสิทธิประโยชน์มากมาย นอกจากนี้ยังได้เผยโฉม Hyper GT, Hyper HT และ Hyper SSR แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ของ GAC AION รวมถึง AION ES รถยนต์ซีดานไฟฟ้ารุ่นแรกในอุตสาหกรรมรถโดยสารสาธารณะของประเทศไทย ที่ได้เปิดตัวพร้อมกันทั้งไทยและต่างประเทศ 

นายโอเชี่ยน หม่า (Ocean Ma) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า  ถือเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของ AION ในงาน Motor Expo ซึ่งเรามาพร้อมกับความจริงใจ และเปี่ยมล้นด้วยความคาดหวัง วันนี้เรามีความพร้อมที่จะนำเอานวัตกรรมที่ล้ำสมัยและรถยนต์ไฟฟ้าที่โดดเด่นมาจัดแสดงภายในงาน Motor Expo 2023 ซึ่งถือเป็นการเล็งเห็นความสำคัญของตลาดรถในประเทศไทย และความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดในอนาคต 

ซึ่งงาน Motor Expo ครั้งนี้ บริษัทได้เปิดตัว AION Y Plus 490 Premium โฉมใหม่ด้วยราคาสุดพิเศษ 999,900 บาท จากราคา 1,099,900 บาท ถึงวันที่ 11 ธ.ค. 2566 นี้เท่านั้น โดยได้รับการอัปเกรดออปชัน อย่างเต็มรูปแบบทั้งหมด 24 รายการ ภายนอกมาพร้อมกับระบบไฟสูงอัจฉริยะ พร้อมประตูฝาท้ายระบบไฟฟ้า และฟังก์ชัน VTOL ภายใน มีการเพิ่มระบบระบายอากาศเบาะที่นั่งคนขับ เบาะผู้โดยสารตอนหน้าสามารถปรับได้ 4 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารสามารถปรับได้ตามจังหวะดนตรี เบาะหลังมีการติดตั้งพนักพิงศีรษะและที่วางแขนตรงกลาง  รวมถึงระบบการขับขี่อัจฉริยะและระบบความบันเทิง มีการอัปเกรดเพิ่มขึ้นถึง 12 รายการ ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะระดับ L2+ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ นอกจากนี้เรายังได้แถมสาย Emergency Charging ให้กับลูกค้าที่ซื้อ AION Y Plus 490 Premium อีกด้วย 

ในส่วนของเทคโนโลยี AION Y Plus 490 Premium ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้า AEP ซึ่งมาพร้อมกับคุณสมบัติที่โดดเด่นและทำให้มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง  มาพร้อมอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมรถได้อย่างมั่นใจและได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งตำแหน่งการวางแบตเตอรี่ไว้ที่จุดศูนย์กลางของตัวรถ ทำให้มีความปลอดภัยสูง ส่งผลให้ตัวรถทำงานควบคู่กับระบบอัจฉริยะได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ตัวแบตเตอรี่ขนาด 63.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งสูงสุดมากถึง 490 กม. พร้อมด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีความปลอดภัยมากที่สุดในโลกอย่าง Magazine Battery ที่ผ่านการทดสอบโดยการใช้กระสุนปืนยิงทะลุแบตเตอรี่มากกว่า 980,000 ครั้ง ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางของรอยกระสุนที่ใหญ่กว่าการทดสอบแบบทั่วไปมากกว่า 7-8 เท่า ผลลัพธ์คือแบตเตอรี่ไม่มีการติดไฟหรือเกิดการระเบิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว 

แนวคิดการออกแบบ AION Y Plus 490 Premium ได้คำนึงถึงความสะดวกสบายและการใช้งานจริงเป็นหลัก  ในขณะเดียวกันก็ได้รวมเอาความทันสมัย และฟังก์ชั่นการขับขี่อัจฉริยะเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร AION Y Plus 490 Premium มีระยะฐานล้อที่ยาวถึง 2,750 mm พร้อมด้วยพื้นที่วางขาด้านหลัง 1,022 mm ทำให้มั่นใจได้ถึงความสะดวกสบายของผู้โดยสาร เบาะนั่งคู่หน้าสามารถพับราบเป็นเตียงขนาดใหญ่ได้ 1.8 เมตร มอบทางเลือกในการพักผ่อนที่มากกว่าและเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางระยะไกล เบาะโดยสารด้านหลังสามารถพับลงกลายเป็นพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่มากถึง 1,200 ลิตร สามารถรองรับสัมภาระจำนวนมากได้เป็นอย่างดี ตอบโจทย์ผู้ที่มีสัมภาระเป็นจำนวนมาก 

AION Y Plus 490 Premium มาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะ ACC with Stop & Go และระบบ ICA ที่ช่วยให้การขับขี่ในความเร็วสูงทั้งทางตรงและทางโค้งได้มีประสิทธิภาพ และฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ในสภาพจราจรติดขัด  TJA (Traffic Jam Assist) ที่จะช่วยควบคุมเบรกและคันเร่งให้โดยอัตโนมัติ  ช่วยลดภาระของผู้ขับขี่จากสถานการณ์รถติด ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องรถติดอีกต่อไป   และยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยอื่นๆอีกมากมาย เช่น FCW, AEB, LDW และ LKA ซึ่งทำหน้าที่แจ้งเตือนการขับขี่และช่วยเหลือผู้ขับในสภาวะที่มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ถือเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ตัวรถยังมาพร้อมกับระบบแสดงภาพพาโนรามา 540 องศา             กำจัดจุดบอดในการมองเห็น และมีระบบสั่งการด้วยเสียงสามารถรองรับได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อีกทั้งยังมีระบบชาร์จมือถือแบบไร้สาย ระบบนำทางและฟังก์ชั่นฟังเพลงแบบออนไลน์ รวมถึงระบบควบคุมรถระยะไกลผ่าน Application เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้รถ 

ในขณะนี้ AION กำลังก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC จังหวัดระยอง ด้วยเงินลงทุนสูงถึง 2.3 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตมากกว่า 50,000 คันต่อปี โดยจะก่อสร้างเป็น 2 เฟส คาดว่าโครงการเฟสแรกจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2567 ปัจจุบัน AION ทำงานใกล้ชิดกับกลุ่มตัวแทนจำหน่ายหลายกลุ่มในประเทศไทย และมีศูนย์บริการแล้ว 35 แห่ง โดย 27 แห่งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และภายในสิ้นปี 2566 นี้ AION มีแผนการที่จะขยายศูนย์จำหน่ายและศูนย์บริการให้ถึง 50 แห่ง 

GAC AION มุ่งมั่นที่จะให้บริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบันศูนย์สต๊อกอะไหล่ของเราได้เริ่มเปิดให้บริการแล้ว สามารถส่งอะไหล่ได้ตลอด 24 ชั่วโมงทั่วประเทศไทย ในราคาที่เอื้อมถึงได้ง่าย และในวันที่ 15 ธันวาคม จะมีการเปิดตัวแอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลต่างๆของแบรนด์ สามารถค้นหาตัวแทนจำหน่ายและนัดหมายทดลองขับได้ภายในคลิ๊กเดียว รวมถึงบริการหลังการขาย นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบควบคุมรถจากระยะไกล  เช่น การล็อครถ และการเปิดแอร์  เป็นการมอบประสบการณ์การบริการดิจิทัลที่สะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้ 

ปัจจุบัน GAC AION กำลังเร่งดำเนินกลยุทธ์ในระดับโลก และกำหนดให้ประเทศไทยเป็นฐานการพัฒนาและการผลิตที่สำคัญในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ AION ได้ให้ประเทศไทยเป็นประตูสำคัญสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์สู่ตลาดระดับโลก การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของ GAC AION ประเทศไทย ถือเป็นก้าวแรกที่มั่นคงในการพัฒนาสู่ระดับโลก และหลังจากการดำเนินการในประเทศไทย AION ได้วางแผนที่จะขยายขอบเขตธุรกิจและกำหนดเป้าหมายไปยังยุโรป อเมริกาใต้ อเมริกาเหนือ โดยเฉพาะตะวันออกกลางและแอฟริกา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระดับโลกและความมุ่งมั่นในการขยายตลาด 

นอกจากนี้ในงาน Motor Expo 2023 AION ยังได้นำแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ของ GAC AION มาโชว์ด้วย อย่างเช่น Hyper GT รถสปอร์ตซีดานไฟฟ้า ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูดุดันและสง่างาม เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ด้วยราคาประมาณ 1,100,000 – 1,700,000 บาท (ในประเทศจีน) สร้างเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก และทำยอดขายไปได้มากถึง 2,000 คันในเดือนแรกของการเปิดตัว ถือเป็นรถสปอร์ตซีดานไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ที่ทำยอดขายได้เร็วที่สุดนับตั้งแต่เปิดตัว ดีไซน์ภายนอกและภายในของ Hyper GT แฝงไว้ด้วยเส้นสายที่ดูสปอร์ต ผสานกับความหรูหราไว้ได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยประตูแบบปีกผีเสื้อ (Butterfly Doors) ที่สามารถเปิด-ปิด ได้ด้วยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว รวมถึงสปอยเลอร์หลังแบบแอคทีฟ ที่จะทำงานเมื่อถึงความเร็วที่กำหนด หรือเลือกเปิด – ปิด ได้ตามความต้องการของผู้ขับขี่ 

ขุมพลังของ Hyper GT จะมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว มอบพละกำลังสูงสุด 340 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิด 320 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.9 วินาที ขับเคลื่อนล้อหลัง จับคู่กับแบตเตอรี่ขนาด 80 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 710 กิโลเมตร (มาตรฐาน CLTC) นอกจากนี้ยังได้ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ NDA ทำงานควบคู่กับกล้อง LIDAR 3 ตัวที่สามารถปรับโฟกัสสำหรับการตรวจหาวัตถุได้ทั้งในระยะใกล้และระยะไกล พร้อมด้วยชิปประมวลผล AI คุณภาพสูงจาก Huawei มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบาย และปลอดภัยสูงสุดให้กับผู้ขับและผู้โดยสาร 

และ Hyper HT เอสยูวีขุมพลังไฟฟ้า 100% ระดับไฮเอนด์ รุ่นแรกจาก Hyper แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงจาก GAC AION ที่มาพร้อมกับดีไซน์ สมรรถนะ และออปชั่น ที่เหนือกว่า โดยรถคันนี้ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม AEP 3.0 ที่ทาง GAC AION วิจัยและพัฒนาขึ้นมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ พร้อมด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ Xingling ซึ่งจะมาพร้อมกับเซ็นเซอร์มากถึง 39 ตัว, ทำงานควบคู่กับกล้อง LIDAR 3 ตัว ให้ความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ขับและผู้โดยสาร 

Hyper HT ได้สร้างมาตรฐานใหม่ ในตลาดเอสยูวีไฟฟ้า 100% โดยได้ชูจุดเด่น 4 ประการได้แก่ ดีไซน์และการออกแบบที่หรูหรา, วัสดุและการตกแต่งระดับพรีเมียม, สมรรถนะการขับที่ยอดเยี่ยม และระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ชาญฉลาด มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ขับและผู้โดยสาร สอดคล้องกับ DNA ของแบรนด์ Hyper ได้แก่ Advanced , Trendy , Fun , High-grade 

ปิดท้ายด้วย Hyper SSR ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า 100% ระดับเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด ถือเป็นรถซูเปอร์คาร์สมรรถนะสูงระดับไฮเอนด์รุ่นแรก ภายใต้แบรนด์ Hyper จาก GAC AION บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ระดับแถวหน้าจากประเทศจีน 

Hyper SSR มาพร้อมกับดีไซน์ที่ดูโฉบเฉี่ยวและเป็นเอกลักษณ์ ตัวถังภายนอกผลิตขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์คุณภาพสูง 100% ให้ความแข็งแรงและมีน้ำหนักที่เบากว่าเหล็กทั่วไปมากถึง 2.5 เท่า โดดเด่นด้วยประตูแบบปีกผีเสื้อ (Butterfly Doors) ที่สามารถเปิดหรือปิดเพียงแค่กดปุ่มบริเวณประตู, หรือเหยียบแป้นเบรกให้ลึกขึ้นในขณะจอดรถ ประตูก็จะเปิดโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบ Active Spoiler ซึ่งสามารถสร้างแรงกดบริเวณท้ายรถได้มากถึง 100 กิโลกรัม และไม่น่าเชื่อว่า Hyper SSR มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน (cd) เพียงแค่ 0.146 เท่านั้น 

ขุมพลังของ Hyper SSR จะมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่ให้พละกำลังสูงสุดมากถึง 1,225 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 1.9 วินาที ให้ผู้ขับได้สัมผัสแรงกระชากในระดับ 1.7 G 

ตัวรถ Hyper SSR ถูกคิดค้น วิจัย และพัฒนา โดยทีมวิศวกรของ Hyper ทั้งหมด และถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีการผลิตระดับสูง ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์จีน และยังเป็นรถซูเปอร์คาร์ไฟฟ้ารุ่นแรกๆ ที่เริ่มวางขายในประเทศจีนอีกด้วย 

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

อีวี ไพรมัส อวดโฉม WULING เพิ่มอีก 2 รุ่น WULING BAOJUNYEP และ รถไฟฟ้าแบรนด์ WULING MINI EV CONVERTIBLEในงาน Motor EXPO ครั้งที่ 40

 ตอกย้ำ DNA แบรนด์ WULING ที่เน้นความวัยรุ่น โดดเด่น มีเอกลักษณ์
ตามคอนเซ็ปต์ “Young at Heart”
 โชว์นวัตกรรมภายใต้แบรนด์ WULING ที่มีหลากหลายรูปแบบของ City EV ให้คนไทยได้เลือกใช้หลังผลตอบรับ WULING AIR EV ดีเกินคาด บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบบมัลติแบรนด์ (Multi-Brand EV Distributor) แห่งแรกของไทย
และเป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์วู่หลิง (WULING)
แต่ผู้เดียวในประเทศไทย (Sole Distributor) เปิดตัว City EV
ภายใต้แบรนด์ WULING เพิ่มอีก 2 รุ่นคือ WULING BAOJUN YEP และ WULING MINI EV CONVERTIBLE ในงาน Motor EXPO
โดยภายในงานยังได้นำเสนอ WULING AIR EV พร้อมแพ็กเกจโปรโมชั่น ดอกเบี้ย 0% พร้อมประกันภัย ชั้น 1 รวมมูลค่า กว่า 50,000 บาท


นายพิทยา ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทฯ ได้เข้าร่วมงาน Motor EXPO โดยภายในงาน อีวี ไพรมัส ได้นำเสนอรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ 2 รุ่นภายใต้แบรนด์ WULING คือ WULING BAOJUN YEP และ WULING MINI EV CONVERTIBLE
ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้เป็นรถ City EV ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งผู้บริโภคชาวไทยจะได้สัมผัสรถทั้ง 2 รุ่นอย่างใกล้ชิดที่บูธในงาน “ที่เราเอารถ 2 รุ่นนี้มาภายใต้คอนเซ็ปต์บูธ ‘Young at Heart’ ในงาน Motor EXPO เพื่อตอกย้ำแนวคิดที่มุ่งเน้น City EV มาตอบโจทย์ Lifestyle คนเมือง ซึ่งภายใต้จุดยืน เราจะนำเสนอ รถไฟฟ้า WULING ในหลากหลายรุ่น หลากหลายราคาภายในโชว์รูมทั่วประเทศ
เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคใหม่จากประสบการณ์ของเราที่ได้เปิดตัวรถอีวีไปแล้ว 2 รุ่นคือ VOLT CITY EV และ WULING AIR EV

ผลลัพธ์คือเราได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างล้นหลาม เราจึงมั่นใจว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบบซิตี้อีวีจะได้รับความนิยมจากตลาด เช่นเดียวกันกับประเทศจีนที่ซิตี้ อีวี เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสำหรับผู้บริโภคที่ใช้ชีวิตในเมืองหรืออยากจะเริ่มใช้รถอีวีเป็นครั้งแรก ก่อนที่จะขยับไปใช้รถอีวีขนาดที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต” นายพิทยา กล่าว
WULING BAOJUN YEP ได้รับการออกแบบเพื่อตอบสนองผู้ที่ชื่นชอบรถที่มีรูปลักษณ์แบบย้อนยุคที่เป็นเอสยูวีไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่มีความยาวตัวถัง 3,381 มม. ความกว้าง 1,685 มม.ความสูง 1,721 มม. และความยาวฐานล้อ 2,110 มม.ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบทันสมัยไม่ตกเทรนด์ด้วยหน้าจอ 2 จอขนาด 10.25 นิ้วเพื่อแสดงข้อมูล ขับขี่และระบบอินโฟเทนเมนท์ต่าง ๆ รวมทั้งคอนโซลฝั่งผู้โดยสารสามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ได้ เช่น ที่วางโทรศัพท์ เป็นต้น
WULING BAOJUN YEP ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 50
กิโลวัตต์ (68 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 140 นิวตัน-เมตร
สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 100 กม./ชม. พร้อมแบตเตอรี่ขนาดความจุ 28.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางสูงสุด 303
กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง (ตามมาตรฐาน CLTC)
และยังรองรับการชาร์จ แบบ DC จาก 30 – 80% ในเวลา 35 นาที
สำหรับ WULING MINI EV CONVERTIBLE
เป็นรถไฟฟ้าเปิดประทุนขนาดเล็ก ขนาดตัวรถยาว 3,059 มม. กว้าง 1,521 มม. และสูง 1,614 มม. ออกแบบสำหรับโดยสาร 2 คน
ซึ่งพื้นที่เบาะหลังถูกพัฒนาเป็นพื้นที่สำหรับเก็บหลังคาอ่อนของรถ
รถไฟฟ้าเปิดประทุนขนาดเล็กรุ่นนี้ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังขับเคลื่อน 41
แรงม้า มีแรงบิดสูงสุด 110 นิวตัน-เมตร สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 100
กม./ชม. ด้วยขนาดแบตเตอรี 26.5 kWh สามารถให้ระยะการเดินทางต่อการชาร์จได้ 280 กิโลเมตรตามมาตรฐานCLTC

“วันนี้เราจัดแสดงรถทั้ง 2 รุ่น ในงานโดยที่เรายังไม่ได้เปิดราคาเพื่อตรวจเช็คความสนใจ และการตอบรับของทั้ง 2 รุ่น ก่อนนำมาจำหน่าย โดยทาง SGMW หรือ บริษัทแม่ มีความมั่นใจในตลาดประเทศไทยอย่างมากด้วยยอดจองที่ทะลุพันคันในเวลาสั้น ๆ ของ WULING AIR EV ตอนนี้เราได้ส่งมอบไปแล้ว 100% ของยอดจอง และทุกวันนี้ยอดจองยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่หากลูกค้าท่านใดสนใจจะจอง WULING รุ่นใหม่ที่เราเอามาโชว์ เราก็ยินดีให้ลงทะเบียนไว้เพื่อรับสิทธิ์พิเศษในการรับรถก่อนพร้อมข้อเสนอพิเศษภายหลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง” นายพิทยา กล่าว


นายพิทยา กล่าวว่าภายในงาน Motor EXPO อีวี ไพรมัส ยังได้นำเสนอ
WULING AIR EV ทุกรุ่นพร้อมโปรโมชั่นพิเศษภายในงาน คือ ดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 36 เดือน พร้อมทั้งประกันภัยชั้น 1 ทุกรุ่นรวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท นายพิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่าขณะนี้ทั้ง VOLT CITY EV และ WULING AIR EV ยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างมาก
โดยทั้งสองรุ่นสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคภายใต้แนวคิด “Young at Heart” ที่ลูกค้าได้เปิดใจใช้รถอีวีแบบซิตี้ที่เหมาะกับการใช้งานในเมือง โดย VOLT CITY EV ผู้ใช้รถรุ่นนี้
นิยมใช้รถในลักษณะเป็นรถเสริมคันพิเศษภายในบ้านสำหรับสมาชิกทุกคนของบ้าน ส่วน WULING AIR EV จะเป็นรถที่ลูกค้านำออกมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อสะท้อนบุคลิกของคนยุคใหม่ที่ทันสมัยไม่ตกเทรนด์ด้วยเทคโนโลยีที่จัดเต็มมาพร้อมกับรถรุ่นนี้ อีกทั้งเป็นรถที่เหมาะกับแต่งตามสไตล์ของตนเองและเหมาะกับการใช้งานภาย ในเมืองที่แท้จริง เพราะเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ไม่ก่อมลพิษและขนาดกระทัดรัด หาที่จอดได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งรูปลักษณ์ของตัวรถเป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่สัญจรมาพบ

“จากการที่บริษัท ฯ เข้าร่วมงานพบปะผู้ใช้รถจริง ทั้ง 2 ครั้ง
ซึ่งมีลูกค้าจริงเข้าร่วมกว่า 100 คัน ในกิจกรรมเราได้ฟังเสียงจากผู้ใช้จริงที่เขาใช้ WULNG AIR EV แล้ว เขาเป็นจุดเด่นบนท้องถนนมาก ขับไปไหนก็มีแต่คนมองแล้วยิ้มให้ อีกทั้งยังใช้งานสะดวกขับขี่ดี
ทำให้เขารู้สึกได้เลยว่าเขาตัดสินใจไม่ผิดเลยที่ซื้อรถคันนี้ด้วยราคาที่จับต้องได้จริง ๆ และลูกค้าบางท่านยังย้ำกับผมอีกว่าเขาแทบไม่ได้จ่ายอะไรเพิ่มสำหรับรถคันนี้ ในแต่ละเดือน เพราะเขาเอาเงินที่ประหยัดจากการเติมน้ำมันมาเป็นค่าผ่อนรถของเขา เขาจ่ายแค่เงินดาวน์เพิ่มเท่านั้นเอง” นายพิทยา กล่าว WULING AIR EV ปัจจุบันมี 2 รุ่น คือ Standard Range และ Long Range เป็นรถซิตี้ อีวี 4 ที่นั่ง 3 ประตู ซึ่งบริษัท อีวี ไพรมัส จะเปิดตัวรถทั้ง 2 รุ่น โดยตัวรถมีขนาดความยาว 2,974 มม. ความกว้าง 1,505 มม. และความสูง 1,631 มม. ความจุของแบตเตอรี่สำหรับรุ่น Standard Range 17.3 kWh สามารถวิ่งได้ 200 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง 8 ชั่วโมง และรุ่น Long Range ความจุของแบตเตอรี่ 26.7 kWh สามารถวิ่งได้ 300 กม. ต่อการชาร์จแบบ AC 6.6 kw 1 ครั้ง 4 ชั่วโมง ในรุ่น Long Range มีแอพพลิเคชั่นควบคุมการทำงานของรถได้จากระยะไกล อาทิ ล็อค-ปลดล็อครถ ปรับกระจก ขึ้น-ลง เปิด-ปิดแอร์ เช็คสถานะแบตเตอรี่
ระยะทางที่วิ่งได้ และ ตำแหน่งรถ
โดยผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com/WulingThai และ
https://www.instagram.com/wulingthai และ http://www.wulingthai.com

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ชวนลูกค้าสัมผัส ออล-นิว

ไทรทัน ทุกรุ่น แต่งเต็มทุกแนว พร้อมทดลองขับรถยนต์มิตซูบิชิหลากหลายรุ่น ที่งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40”

จากภาพ:มร. เออิอิชิ โคอิโตะ (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการใหญ่ มิตซูบิชิ
มอเตอร์ส ประเทศไทย และ มร. เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์การตลาด สายงานกลยุทธ์การตลาด สายงานขาย
สายงานพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย และสายงานบริการหลังการขาย มิตซูบิชิมอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมจัดแสดง ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ครบทุกรุ่น สำหรับลูกค้าชาวไทย ครั้งแรก ที่งาน


“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” หรือ “Motor Expo 2023”
กรุงเทพฯ – 29 พฤศจิกายน 2566: บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส
(ประเทศไทย) จำกัด ชวนลูกค้าชมโฉม ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน
ครบทุกรุ่น ครั้งแรก ที่งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” นำทัพโดย ออล-
นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท และ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ
ขับเคลื่อน 4 ล้อ อัลตร้า เกียร์อัตโนมัติ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD II เอกลักษณ์เฉพาะมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อฟูลไทม์ (4H) เจ้าแรกในตลาดกระบะไทย ใหม่ล่าสุดด้วย 7 โหมดการขับขี่ และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC)
ขับขี่คล่องตัวด้วยความปลอดภัยสูงสุดบนทุกสภาพถนน
พร้อมสัมผัสกลุ่มรถกระบะออล-นิว ไทรทัน ตัวเตี้ย ครบทุกแค็บ
ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ที่ประหยัดน้ำมันกว่า แชส์ซีส์ใหม่ “เมกา

เฟรม” สุดแกร่งที่ใหญ่กว่าเดิม ทั้งยังจับมือสำนักแต่งรถทุกสายทั้งแนวเรซซิ่ง แนวแคมป์ปิ้ง 4WD และเชิงพาณิชย์ จัดแสดงรถแต่งทรงต่างๆ สร้างแรงบันดาลใจ ทั้งกระบะตัวเตี้ยแต่งเต็มสไตล์เรซซิ่งสุดเท่ คอกซิ่งสุดหล่อ และติดตั้งตู้ทึบสำหรับใช้งานเชิงพาณิชย์ รวมถึงกระบะยกสูงจัดทรงสายแรลลี่ สายแคมป์ปิ้ง มอเตอร์โฮม และอื่นๆ มาให้ยลโฉมอีกด้วย
มร. เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส
(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “นับตั้งแต่ที่เราได้เปิดตัวรถยนต์ ออล-นิว
มิตซูบิชิ ไทรทัน ในงานเวิลด์พรีเมียร์ที่ประเทศไทย ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา งานนี้ถือเป็นครั้งแรกของการจัดแสดงรถยนต์ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ครบทุกรุ่น ที่เกิดมาเพื่อปฏิวัติความเชื่อ เป็นได้มากกว่า ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม ด้วยจุดเด่นด้านความสะดวกสบายสุดหรูของห้องโดยสารที่เทียบเคียงได้กับรถเอสยูวี ควบคู่กับสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม


ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ที่ให้พละกำลังสูงแต่ประหยัดน้ำมันกว่าเดิมพร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้รถกระบะยุคใหม่ได้ดี เหมาะทั้งสำหรับใช้เป็นรถเพื่อประกอบอาชีพสร้างผลกำไร และเติมเต็มความสนุกเร้าใจในการใช้งานส่วนตัว” บูธมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่
40″แบ่งการจัดแสดงรถไว้ทั้งหมด 3 โซน ประกอบด้วย เพลย์โซน (Play
Zone) เวิร์คโซน (Work Zone) และ ไลฟ์สไตล์โซน (Lifestyle Zone)
เพื่อสะท้อนถึงอรรถประโยชน์มากมายของรถมิตซูบิชิหลากหลายรุ่น
ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าหลากหลา
ยกลุ่ม ไฮไลท์ของ เพลย์โซน (Play Zone) ณ บูธมิตซูบิชิ มอเตอร์ส
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ออกแบบเพลย์โซน (Play Zone) โดยมุ่งเน้นการจัดแสดงยนตรกรรมเพื่อคนรักการผจญภัย เน้นโชว์รถกระบะตัวท็อป และตัวแต่ง อาทิ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ ไฮเปอร์พาวเวอร์ เอ็กซ์ทู (Hyper Power X 2 ) เทอร์โบสองสเตจ ด้วยพละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร ภายใต้การออกแบบสไตล์สปอร์ตสุดล้ำ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ชื่นชอบการผจญภัย

พร้อมความสะดวกสบายสุดหรูของห้องโดยสาร สะกดทุกสายตาของผู้ชื่นชอบรถกระบะด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ด้วยแนวคิด “บีสต์ โหมด” (BEAST MODE) ที่ผสมผสานความปราดเปรียวเข้ากับการออกแบบที่แข็งแกร่งของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพื่อสร้างสรรค์รูปลักษณ์อันโดดเด่นสะดุดตา พร้อมสะท้อนความบึกบึนและทรงพลังในแบบฉบับรถกระบะที่แท้จริง การันตีด้วยรางวัลออกแบบยอดเยี่ยม หรือ Good Design Award 2023 ที่จัดโดยสถาบันส่งเสริมการออกแบบแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Institute of Design Promotion) ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ได้หลอมรวมความเป็น “ที่สุด” แห่งดีเอ็นเอของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (Mitsubishi Motors-ness) เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน ไดมอนด์ เซนส์ ที่มาพร้อมกับระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (Diamond Sense with Adaptive Cruise Control) พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation System: FCM)
ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW)
ระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist: LCA)
ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic
Alert: RCTA) ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ (Auto High Beam:
AHB) กล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor: MAM)
ซึ่งเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งหมดนี้ สามารถตรวจจับการเคลื่อนที่ของตัวรถและสภาพแวดล้อมด้วยเซ็นเซอร์และเรดาร์ที่ควบคุมด้วยระบบ AI ได้รอบคัน พร้อมด้วยระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า (Electric Power Steering: EPS) ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ทุกรุ่นย่อย จะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ “ซูเปอร์ซีเล็คต์ โฟร์วีลไดร์ฟ ทู” (Super Select 4WD II) เป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดดเด่นด้วยโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อฟูลไทม์ (Full-Time All Wheel
Control) เจ้าแรกในตลาดกระบะไทย ซึ่งสามารถเปลี่ยนจากโหมดขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ (4H) ได้ทันที
แม้ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง (Shift-on-the-Fly)
เสริมความปลอดภัยให้ขับขี่คล่องตัวพร้อมตะลุยทุกสภาพอากาศและทุกรูปแบบของพื้นผิว ด้วย 7 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมดปกติ (Normal),
โหมดประหยัดเชื้อเพลิงและรักษ์โลก (Eco),โหมดขับขี่บนทางลูกรังหรือทางฝุ่น (Gravel),โหมดขับขี่บนพื้นหิมะหรือขณะฝนตกผิวถนนเปียกลื่น (Snow), โหมดขับขี่ลุยโคลนหรือผิวทางที่เหนียวลื่น (Mud),โหมดขับขี่ตะลุยทรายหรือผิวทางที่ดินร่วน (Sand),โหมดไต่หินหรือขับขี่บนผิวทางที่เป็นหินขรุขระ (Rock)แตกต่างอย่างเหนือกว่าด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) ช่วยให้ขับขี่คล่องตัว ควบคุมได้ดังใจ 


นอกจากนี้ อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพลย์โซน (Play
Zone) คือ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ ขับเคลื่อน 4 ล้ออัลตร้า
เกียร์อัตโนมัติ และออล-นิว ไทรทัน รุ่นตัวเตี้ย ทั้งเมกะ แค็บ ตอนครึ่ง
และดับเบิ้ล แค็บ สี่ประตู ตัวเตี้ย ซึ่งพร้อมส่งมอบในช่วงปักษ์แรกของเดือนธันวาคม 2566 โดยจัดแสดงแบบแต่งเต็มหล่อเข้มเต็มพิกัด
จัดทรงโชว์ความเท่สไตล์เรซซิ่งบวกอารมณ์สปอร์ต ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างและผู้รักความเร็วสไตล์มอเตอร์สปอร์ตภายในงาน ยังมีการนำเสนอเทคโนโลยี มิตซูบิชิ คอนเนค (MITSUBISHI CONNECT)
ที่เชื่อมต่อและควบคุมตัวรถได้จากระยะไกล สามารถรองรับได้ทั้งระบบ
iOS และ Android ผ่านการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน “My
MITSUBISHI CONNECT” เพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัย
เพิ่มความอุ่นใจในทุกมิติ ทั้งระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS
ผ่านตัวรถ (e-call) ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อเกิดการชน
นอกจากนี้ยังให้ความสะดวกสบายด้วยฟังก์ชันการสั่งการจากระยะไกล
ทั้งการควบคุมเครื่องปรับอากาศจากระยะไกล
การล็อกและปลดล็อกประตูรถได้จากระยะไกล
การควบคุมแตรรถและการเปิดปิดไฟหน้าจากระยะไกล
รวมถึงการรายงานและตรวจสอบสถานะของรถยนต์ เช่น
ระดับน้ำมันคงเหลือและระยะทางที่วิ่งต่อได้ ความดันลมยาง
และมีฟังก์ชันความปลอดภัยอื่นๆ อาทิ
การขอความช่วยเหลือบนท้องถนน (Roadside Assistance)

การระบุตำแหน่งรถยนต์ และการช่วยเหลือเมื่อรถถูกโจรกรรม (Stolen
Vehicle Assistance) ไฮไลท์ของ เวิร์คโซน (Work Zone) ณ บูธมิตซูบิชิ มอเตอร์ส การจัดแสดงรถในเวิร์คโซน (Work Zone) มุ่งฉายภาพโอกาสทางธุรกิจให้กับเจ้าของกิจการ ผู้ประกอบการ และหน่วยงานองค์กรต่างๆ
ผ่านการปรับทัพรถกระบะให้ครองใจเจ้าของธุรกิจและผู้ขับขี่ได้ดีขึ้นใน
ราคาที่จับต้องได้ ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมของออล-นิว ไทรทัน
ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ที่ให้พละกำลังสูงแต่ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม
แชสซีส์ใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม แข็งแกร่งทนทานยิ่งกว่า และขนาดกระบะท้ายที่ใหญ่ที่สุดในบรรดารถกระบะด้วยกัน จึงสามารถรองรับโหลดบรรทุกในแต่ละรอบได้มากขึ้น ทั้งยังบำรุงรักษาง่ายในงบประมาณที่ประหยัดกว่า
พร้อมจับมือพาร์ทเนอร์ในการติดตั้งตู้ทึบ หรือเสริมคอกบรรทุกได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และด้วยจุดเด่นด้านอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและการตกแต่งภายใน ที่ช่วยสวยงาม ภายใต้แนวคิด ‘มิตซูบิชิ ทัช’ โดยเฉพาะเบาะนั่งของออล-นิว ไทรทัน ที่ออกแบบเป็นพิเศษให้ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่และผู้โดยสารเมื่อต้องเดินทางไกล รถกระบะออล-นิว ไทรทัน ที่แต่งเชิงพาณิชย์จึงเป็นได้มากกว่ารถขนส่ง โดยรุ่นที่นำมาจัดแสดง ได้แก่ ออล-นิว ไทรทัน รุ่นซิงเกิ้ล แค็บ ตัวเตี้ย รุ่นเมกะ แค็บ ตัวเตี้ย
และรุ่นเมกะ แค็บ ยกสูง นอกจากนี้ ภายใน เวิร์คโซน (Work Zone)
ยังน้นโชว์สมรรถนะและฟังก์ชันความสะดวกสบายของตัวรถ
รวมถึงศักยภาพการบรรทุกและการใช้งานด้านต่างๆ ของ ออล-นิว
มิตซูบิชิ ไทรทัน ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้งานเชิงพาณิชย์ของลูกค้าชาวไทย จากการศึกษาตลาดของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส อย่างต่อเนื่องด้วยเครื่องยนต์ใหม่ 4N16  ที่ทรงพลังกว่าเดิม ด้วยกำลัง 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ “ไฮเปอร์พาวเวอร์” (Hyper Power) 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร
สำหรับรุ่นซิงเกิ้ล แค็บ ประหยัดน้ำมันที่ดียิ่งขึ้น มาพร้อมแชสซีส์ใหม่
“เมกา เฟรม” ที่ได้รับการออกแบบให้ใหญ่และแข็งแกร่งกว่าเดิม

ตัวถังมีขนาดใหญ่ขึ้น จึงมีพื้นที่ในห้องโดยสารกว้างขึ้น และมีพื้นที่กระบะท้ายกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ผสานช่วงล่างใหม่ ตอบรับทุกการใช้งาน มั่นใจทุกการบรรทุกได้เต็มพิกัด ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ดีและมีความทนทานกว่านำไปสู่ผลกำไรที่สูงขึ้นสำหรับลูกค้าที่ใช้งานเพื่อการพาณิชย์ ภายในห้องโดยสารของ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน รุ่น ซิงเกิ้ล แค็บ และรุ่น เมกะ แค็บ ยังได้รับการออกแบบให้มีความพรีเมียมมากยิ่งขึ้น ตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูงให้ความนุ่มนวลทุกสัมผัส จับถนัดคล่องตัวและสะดวกสบาย
เสริมด้วยเบาะนั่งดีไซน์ใหม่ที่โอบอุ้มสรีระ เน้นให้ขับขี่ทางไกลได้อย่างไม่เหนื่อยล้า ร่วมด้วย พวงมาลัยและสวิทช์ควบคุมต่าง ๆ ที่ได้รับการออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานได้ง่ายขึ้น แม้ขณะสวมถุงมือ
เพื่อให้ผู้ขับขี่มีสมาธิในการขับขี่อย่างเต็มที่ พร้อมติดตั้งชุดเครื่องเสียงและหน้าจอสัมผัสขนาด10 นิ้ว ที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto
ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบที่มุ่งครองใจเจ้าของกิจการและ
ผู้ใช้งานจริง นอกเหนือจากสมรรถนะและความสะดวกสบายเหนือระดับแล้ว ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ทุกรุ่น ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ครบครันที่สุด เมื่อเทียบกับรถระดับเดียวกัน โดยในรถทุกรุ่นย่อยรวมถึงรุ่นเริ่มต้น มีระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL) และระบบแอคทีฟลิมิเต็ดสลิปที่เฟืองท้ายแบบควบคุมด้วยเบรก (Active LSD) ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ทุกรุ่น
จึงเป็นเสมือนหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าของกิจการไทย
ที่พร้อมรองรับการดัดแปลงเพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์ได้หลากหลาย
มีความสะดวกสบายเต็มพิกัดขณะใช้งาน

ทั้งยังบำรุงรักษาง่ายในงบประมาณที่ประหยัดกว่า
เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถสร้างผลกำไรได้เร็วที่สุด
ไฮไลท์ของ ไลฟ์สไตล์โซน (Lifestyle Zone) ณ บูธมิตซูบิชิ มอเตอร์ส
สัมผัสกับรถยนต์มิตซูบิชิ มอเตอร์ส อีกหลากหลายรุ่น ใน
ไลฟ์สไตล์โซน (Lifestyle Zone) ได้แก่ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต อีลีท
เอดิชัน ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ติดตั้งเต็นท์แคมป์ปิ้ง
เพื่อสะท้อนความเป็นเพื่อนคู่ใจที่ดีที่สุดบนทุกเส้นทางที่มุ่งมั่นตะลุย
พร้อมด้วย มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต GT-Plus ที่โดดเด่นในสไตล์สปอร์ต
นอกจากนี้ ภายในไลฟ์สไตล์โซน (Lifestyle Zone) ยังมีการจัดแสดง
มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ รถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง
สไตล์หรูหราที่ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าได้มากกว่า
และผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบการผจญภัยยังสามารถเลือกชม มิตซูบิชิ
เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ในสไตล์สุดหรูพร้อมลุย โดยทั้ง 2 รุ่น
มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยอันเหนือระดับ อาทิ
ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw
Control: AYC) ให้ความมั่นใจในการขับขี่
เข้าโค้งกระชับเฉียบคมบนทุกสภาพถนนและสภาพอากาศ
อีกทั้งยังจัดแสดง มิตซูบิชิ แอททราจ สเปเชียล เอดิชัน
รถยนต์อีโคคาร์ดีไซน์โดดเด่น คุ้มค่า
เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ใช้ชีวิตในเมือง
ผู้สนใจสามารถชมโฉม ออล-นิว ไทรทัน ทุกรุ่น
พร้อมทดลองขับรถยนต์มิตซูบิชิหลากหลายรุ่น ได้ที่งาน
“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” หรือ “MOTOR EXPO 2023”
ระหว่างวันที่ 30 พ.ย. – 11 ธ.ค. 2566 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 – 3
เมืองทองธานี พร้อมพบกับโปรโมชั่นมากมายและข้อเสนอสุดพิเศษ อาทิ
แคมเปญดอกเบี้ย 0% และข้อเสนอพิเศษกว่า 120,000 บาท
สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ
เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และนัดหมายเพื่อทดลองขับได้ที่ www.mitsubishi-motors.co.th หรือ มิตซูบิชิ คอลเซ็นเตอร์ หมายเลขโทรศัพท์ 02-079-9500 เปิดรับสายทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

‘ซูซูกิ’ ยกทัพอีโคคาร์บุกงาน Motor Expo 2023พร้อมเปิดไอเดียธุรกิจเคลื่อนที่แนวใหม่SUZUKI CARRY PORTABLE RESTROOMชูแคมเปญเด็ด “SUZUKI TRIPLE BONUS DEAL” ดอกเบี้ย 0% หรือ ช่วยผ่อนนาน 2 ปี

29 พฤศจิกายน 2566-กรุงเทพมหานคร-นายทาดาโอะมิ ซูซูกิ
ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับการเข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 หรือ Thailand International Motor Expo 2023 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน -11 ธันวาคม 2566 ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี

ซูซูกิ ยังคงนำรถยนต์ซูซูกิทุกรุ่นเข้าร่วมจัดแสดงภายในงาน ภายใต้แนวคิด “Energize your drive” สื่อสารถึงยนตกรรมของซูซูกิที่เปี่ยมไปด้วยการออกแบบในสไตล์ที่โดดเด่นผสานกับเทคโนโลยีรวมถึงฟังก์ชันการใช้งาน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในการใช้งานได้อย่างคุ้มค่าคุ้มราคา
งานมหกรรมยานยนต์ยังคงเป็นงานที่มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นตลาดรถยนต์ในช่วงท้ายของปี ซึ่งเรามีความมุ่งหวังว่าการเข้าร่วมงานในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยผลักดันยอดขายรถยนต์ ซูซูกิให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา (เดือนมกราคม-เดือนตุลาคม 2566) ซูซูกิมียอดจำหน่ายรวมจำนวน 10,480 คัน SUZUKI SWIFT สปอร์ตคอมแพคคาร์รุ่นยอดนิยม จำนวน 4,764 คัน SUZUKI CELERIO จำนวน
2,153 คัน SUZUKI CARRY 2,125 คัน SUZUKI XL7 จำนวน 681 คัน SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID จำนวน 334 คัน และ SUZUKI CIAZ จำนวน 390 คัน โดยเชื่อมั่นว่าในช่วงระยะเวลาที่เหลือจะช่วยสร้างยอดขายให้เติบโตสูงขึ้นอย่างแน่นอน


นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์
(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับการเข้าร่วมงาน มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 40 นี้ เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสถึงความเป็นเอกลักษณ์ของยนตกรรมจากซูซูกิ ซึ่งจะได้พบกับผลิตภัณฑ์ซูซูกิทุกรุ่น นำโดย SUZUKI SWIFT GL NEXT รถซึ่งถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก SUZUKI SWIFT GL
ที่เป็นพื้นฐานความสำเร็จของรุ่นตกแต่งพิเศษหลายเวอร์ชัน

และได้รับความนิยมจนสร้างยอดขายให้ซูซูกิได้เป็นอย่างดี กับแนวคิด “NEXT to the edge ขับสนุกเต็มขั้น เร้าใจเกินพิกัด” พิเศษด้วยชุดแต่งรอบคันที่ถูกออกแบบมาเพื่อลูกค้าซูซูกิโดยเฉพาะ

SUZUKI SWIFT GL NEXT พร้อมการตกแต่งด้วยชุดแต่ง GL NEXT ชุดสเกิร์ตรอบคัน บ่งบอกถึงความพิเศษและเป็นเอกลักษณ์ด้วยชุดสติกเกอร์ GL NEXT Edition ที่จะถ่ายทอดทุกความเร้าใจให้คุณสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง ดีไซน์ภายในการตกแต่งด้วยลายเคฟลาร์ ตรงบริเวณคอนโซลและแผงประตูด้านข้าง จอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เครื่องเล่นวิทยุที่สามารถรองรับการเล่นไฟล์ MP3, WMA เติมเต็มความบันเทิงในการขับขี่ พร้อมระบบเชื่อมต่อ Bluetooth และเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ทำให้ไม่พลาดทุกการติดต่อตลอดการเดินทาง ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 582,000 บาท

SUZUKI CELERIO รถยนต์นั่งขนาดคอมแพ็คคุณภาพเกินตัว มอบความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร โดดเด่นด้วยการเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่มอบความคุ้มค่าคุ้มราคาและตอบโจทย์การ ใช้งานได้อย่างสูงสุด ส่งผลให้ฐานลูกค้าในปัจจุบันไม่ใช่แค่เพียงแค่วัยรุ่นและวัยทำงาน แต่ยังเป็นหนึ่งในรถทางเลือกของครอบครัวขนาดเล็กอีกด้วย
โดยมีทั้งในรุ่นเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ CVT ราคาเริ่มต้นที่ 338,000 บาท สำหรับรุ่นมาจัดแสดงในงาน

SUZUKI CELERIO GL UP
รุ่นที่เคยสร้างกระแสความคุ้มค่า ที่มาพร้อมความโดดเด่นทุกด้าน ในสไตล์ CITY CAR ตอกย้ำความแตกต่างอย่างมีสไตล์ ด้วยชุดแต่งพิเศษ GL UP
เติมเต็มความสปอร์ต ด้วยชุดสเกิร์ตรอบคัน พร้อมด้วยสปอยเลอร์หลัง
และชุดสติกเกอร์ GL UP ในราคาจำหน่ายที่ 423,000 บาท และ SUZUKI CELERIO GX มาพร้อมกับการปรับปรุงเพื่อตอบรับทุกการใช้งานที่ครบครัน ด้วยจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมเครื่องเล่นวิทยุที่รองรับการเล่นไฟล์ MP3 และ WMA ระบบเชื่อมต่อ Bluetooth รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ทั้งระบบ Apple
Carplay และ Android Auto ราคาจำหน่าย 451,000 บาท


SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID -The Power of Smart เต็มที่ทุกฟังก์ชัน เต็มพลังสมาร์ทไฮบริด รถอเนกประสงค์ MPV ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ SMART HYBRID ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ SHVS จากซูซูกิ

ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า Integrated Starter Generator หรือ ISG พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ION ประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 17.9 กิโลเมตรต่อลิตร เสริมประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนให้รถออกตัวได้อย่างนุ่มนวล โดยมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 134 กรัม/กิโลเมตร การบำรุงรักษาง่ายไม่แตกต่างจากรถเครื่องยนต์เบนซิน ใช้งานได้อย่างไร้กังวล เพราะรับประกันอายุแบตเตอรี่นานถึง 5 ปี ราคาพิเศษหลังหักส่วนลดเริ่มต้นที่ 699,000 บาท


SUZUKI CIAZ ฉีกกฎความคุ้มค่า ด้วยสัมผัสสบายสไตล์อีโคซีดาน
ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างครบครัน พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบาย รองรับทุกการเดินทางได้อย่างลงตัว ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างคุ้มค่า คุ้มราคา จำหน่ายเริ่มต้นเพียง 528,000 บาท


SUZUKI XL7 รถยนต์ “Multi-Dynamic Crossover” ขนาด 7 ที่นั่ง
รถยนต์สำหรับครอบครัว มิติรถขนาดใหญ่ที่มีความยาว 4,450 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,775 มิลลิเมตร ความสูง 1,710 มิลลิเมตร และความสูงใต้ท้องรถ 200 มิลลิเมตร มอบวิสัยทัศน์และสมรรถนะในการขับขี่ ทุกฟังก์ชันการใช้งานอย่างครบครัน ในราคาที่คุ้มค่า 814,000 บาท
SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์


ที่ถูกออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ที่พร้อมจะนำไปดัดแปลงและพัฒนาต่อยอดให้เข้ากับทุกแนวทางของการดำเนินชีวิต SUZUKI CARRY ไม่ได้ถูกจดจำในฐานะ “Food Truck” ธุรกิจติดล้อเพียงอย่างเดียว แต่จะกลายเป็น Goods Truck และ Service Truck ที่สามารถต่อยอดในการทำธุรกิจอื่นๆ การช่วยเหลือสังคม รวมถึงการปรับใช้ส่วนตัวเพื่อให้กลายเป็นรถขนส่งความสุขเคียงข้างทุกเส้นทางฝันเป็นเสมือนดั่งพาร์ทเนอร์คนสำคัญ
ที่พร้อมจะสนับสนุนและร่วมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างผู้ใช้ด้วยความจริงใจ
พร้อมเดินหน้าไปสู่จุดหมายและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ในราคาจำหน่ายเพียง 395,000 บาท สำหรับในโซนการจัดแสดงรถยนต์ตกแต่ง ซึ่งเป็นจุดเด่นของซูซูกิในทุกปีนั้น ซูซูกิยังคงคัดสรรรถที่ตกแต่งได้อย่างน่าสนใจ เพื่อนำเสนอเป็นแนวทางสำหรับลูกค้าของซูซูกิ

ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งเพื่อความสปอร์ตเร้าใจในการขับขี่
หรือเพื่อนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์จากรถคันโปรดของตัวเองได้อย่างแท้จริง ไฮไลต์สำคัญ คือ การนำรถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์ SUZUKI CARRY มาตกแต่งภายใต้แนวคิด Portable Restroom ยกระดับการออกแบบห้องน้ำเคลื่อนที่ให้มีความครบครัน ตอบโจทย์การใช้งานทุกฟังก์ชัน ทั้งห้องอาบน้ำ ห้องแต่งตัว และห้องสุขา โดยดีไซน์ให้มีความเป็นส่วนตัว สะดวกสบาย เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้า VIP หรือเป็นห้องน้ำ ห้องแต่งตัวส่วนตัวสำหรับศิลปิน ดารา นักแสดง ในการออกไปทำงานนอกสถานที่ สอดรับกับจุดเด่นของ SUZUKI CARRY ที่มีขนาดกะทัดรัด สามารถเข้าถึงพื้นที่จำกัดได้ จึงตอบโจทย์ทุกการใช้งานได้อย่างครอบคลุม โดยซูซูกิได้ร่วมมือกับบริษัท บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจวัสดุตกแต่งบ้านที่ครบครันครอบคลุมหลากหลายแบรนด์ดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในการจัดวางสุขภัณฑ์ และอุปกรณ์ต่างๆ ในรถ SUZUKI CARRY บนพื้นฐานการใช้งานจริง ทั้งยังมุ่งหวังให้เป็นไอเดียต้นแบบสร้างแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจที่แตกต่าง จุดประกายแนวทางใหม่ให้ผู้ประกอบการ ตอกย้ำแนวคิด “Carry Your Dream เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน” ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเรามีเป้าหมายที่จะปรับเปลี่ยนรถกระบะบรรทุกให้เป็นรถขนส่งความสุขเคียงข้างทุกเส้นทางฝันทั้งในด้านธุรกิจและการใช้ชีวิตส่วนตัว รวมถึงการช่วยเหลือสังคมเหมาะสมกับการเป็นรถที่ครองใจผู้ประกอบการตัวจริง สำหรับรุ่นยอดนิยม SUZUKI SWIFT นำมาตกแต่งในสไตล์ Camping ถูกออกแบบให้ลูกค้านำไปใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน สามารถบรรทุกสิ่งของบนแร็คหลังคาโดยรับน้ำหนักได้ถึง 50 กิโลกรัม บรรทุกสัมภาระได้สะดวกสบาย มาพร้อมการตกแต่งไฟหน้ารถ Smiley เพื่อเพิ่มแสงสว่างและทัศนวิสัยในเวลากลางคืน และอีกหนึ่งรุ่น เอาใจสายแต่งจากกลุ่มลูกค้าที่ชอบแต่งรถด้วยรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวทันสมัย ด้วยดีไซน์สปอร์ต ดูเท่แบบลงตัว เพิ่มสมรรถนะการใช้งานยิ่งขึ้นด้วยยาง Dunlop 195/55/R15 พร้อมชุดแต่ง Mini BBT รอบคัน คิ้วซุ้มล้อและสปอยเลอร์หลังแบบแนบอีกด้วย

ซูซูกิ ยังเตรียมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าทุกท่านให้สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ซูซูกิทุก รุ่นได้ง่ายยิ่งขึ้น เพียงจองรถภายในงานมหกรรมยานยนต์นี้ รับแคมเปญพิเศษ “SUZUKI TRIPLE BONUS DEAL” ดีลโดนใจ โบนัสใหญ่ 3 ต่อ ส่งท้ายปี มอบให้ลูกค้าที่จองและรับรถยนต์ซูซูกิ ตั้งแต่วันนี้ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ซูซูกิช่วยผ่อน เดือนละ 1,500 บาท นาน 2 ปี หรือ เลือกรับส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งสูงสุด 50,000 บาท (เฉพาะรุ่นที่ร่วมรายการ) หรือเลือกรับดอกเบี้ยพิเศษ 0% พิเศษ! ส่วนลดเพิ่มเติมอีก 15,000 บาท สำหรับข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ บุคลากรทางการแพทย์ หรือ เกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกร พร้อม ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งในปีแรกสำหรับรถยนต์ซูซูกิทุกรุ่น ทั้งนี้ รายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บูธรถยนต์ซูซูกิ ภายในงานมหกรรมยานยนต์ ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน -11 ธันวาคม 2566 ณ อิมแพ็คชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี
หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศใกล้บ้าน
ช่องทางการติดต่อ
http://www.suzuki.co.th
http://www.facebook.com/officialsuzukimotorthailand
SUZUKI Cause We Care: 1800-600-900

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

มาสด้าสร้างเซอร์ไพรส์นำ Mazda6 20th Anniversary Editionฉลองครบรอบ 20 ปี เปิดรับจองสิทธิ์เพียง 100 คัน ในประเทศไทย

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 – บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด มีความภูมิใจอย่างยิ่งที่จะประกาศให้ลูกค้าชาวไทยทราบว่า วันนี้ การรอคอยได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อมาสด้าเตรียมนำเข้ารถยนต์นั่งสปอร์ตซีดานระดับไฮเอนด์ที่ให้ความหรูหราภูมิฐานจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้คนไทยได้สัมผัสและเป็นเจ้าของ กับการเผยโฉมครั้งแรกของ Mazda6 20th Anniversary Edition ที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี ของมาสด้า6 โดยจะนำเข้ามาเพียง
100 คัน เท่านั้น เพื่อเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยม นักธุรกิจชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ผู้บริหารระดับผู้นำสูงสุดขององค์กร โดยจะเริ่มเปิดให้ลูกค้าจองสิทธิ์เพื่อเป็นเจ้าของรถยนต์รุ่นพิเศษได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผ่านผู้จำหน่ายทั่ว ประเทศไทย และมีกำหนดส่งมอบให้กับลูกค้ารายแรกในช่วงเดือนเมษายนปี พ.ศ. 2567 โดยจะวางราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณการณ์ 2.4 ล้านบาท พร้อมแพ็กเกจพิเศษเพื่อเอาใจใส่ดูแลลูกค้าแบบพิเศษสุดกับโปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ Mazda Ultimate Service นานสูงสุด 7 ปี และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆ อีกมากมาย

มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้า6 เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ไอคอนที่สำคัญของมาสด้า ภายใต้สโลแกน “Zoom-Zoom” โดยนับตั้งแต่ มาสด้า6 เจเนอเรชั่นแรก (หรือที่รู้จักในชื่อ Mazda Atenza ในประเทศญี่ปุ่น) ได้วางจำหน่ายเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2545 ในประเทศญี่ปุ่น ก็เรียกได้ว่าเป็นรถยนต์นั่งขนาดกลางที่เติมเต็มความสุขในการขับขี่ให้กับลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ


แม้ว่ามาสด้า6 ผ่านการออกแบบใหม่ทั้งหมดมาแล้วสองครั้ง
แต่ยังคงเอกลักษณ์ตัวตนที่ชัดเจนในด้านการส่งมอบความสุขในการขับขี่
ด้วยการนำเสนอคุณค่าในระดับสากลที่รถยนต์สามารถมอบให้ได้อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้รถรุ่นนี้ได้รับความนิยมและกลายเป็นรถที่ส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าทั่วโลกมาแล้วกว่า 4 ล้านคัน เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้ามาสด้า และร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี ของ มาสด้า6
เจเนอเรชั่นแรก เมื่อปี พ.ศ. 2545 เช่นเดียวกับ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และแฟนมาสด้าทั่วโลก ทาง มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จึงเตรียมนำรถยนต์ Mazda6 20th Anniversary Edition เข้ามาเปิดตัวแนะนำ เพื่อแทนคำขอบคุณลูกค้าที่เชื่อมั่นในแบรนด์มาสด้า เพื่อให้แฟนมาสด้าได้เป็นเจ้าของด้วยความภาคภูมิใจ โดยรถที่จะนำเข้ามานี้เป็นรถโมเดลเดียวกับที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นและผลิตจากโรงงานมาสด้า
ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งยังคงความสนุกสนานในการขับขี่สไตล์มาสด้าเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม

ผสานกับการออกแบบที่มีสไตล์ทำให้เกิดรูปลักษณ์อันสง่างาม พิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด จนกลายเป็นรถยนต์ที่ไม่ธรรมดา และให้สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ซึ่งได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตลอดประวัติศาสตร์ 20 ปี ของรถยนต์รุ่นนี้ มาสด้ายังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่สร้างความรักความผูกพันอันแน่นแฟ้นกับลูกค้า โดยมุ่งเน้นไปที่แก่นแท้ของรถยนต์ นั่นคือ “ความสุขในการขับขี่” หรือ Joy of Driving และมุ่งมั่นที่จะรักษาโลกของเราให้ยังคงสวยงาม ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน และสร้างสังคมที่น่าอยู่ เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของทุกคน ในโอกาสพิเศษนี้ มาสด้าจึงนำเข้า Mazda6 20th Anniversary Edition ไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าและแฟนๆ มาสด้าในประเทศไทย เพื่อให้รถยนต์มาสด้าเป็นยานพาหนะคู่ใจของทุกคนในครอบครัว โดยมาสด้าจะเริ่มเปิดให้จองสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 ในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023
และโชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ โดยจำกัดจำนวนเพียง 100 คัน เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด รถยนต์นั่งสุดหรู Mazda6 20th Anniversary Edition มาพร้อมแนวคิด “The Ultimate Maturation of Sportiness and Elegance” โดยเป็นรถที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ด้านสมรรถนะในการขับขี่ เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่และฟีเจอร์อำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่ถูกออกแบบให้มีความสปอร์ตโฉบเฉี่ยว
ในรูปแบบสปอร์ตซีดาน 4 ประตู โดดเด่นด้วยล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ไฟหน้าแบบ LED และหลังคาซันรูฟไฟฟ้า มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 2.5 ลิตร เจเนอเรชั่นใหม่ พร้อมเทคโนโลยี Cylinder Deactivation อัจฉริยะ ที่เปิดตัวแนะนำเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
โดยระบบสามารถคำนวณและลดการทำงานของกระบอกสูบตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงความเร็ว จาก 4 สูบ ให้เหลือเพียง 2 สูบ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันที่เหนือกว่าถึง 14.3 กม./ลิตร*
ให้พละกำลังสูงสุด 192 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 223 กม./ชั่วโมง พร้อมเกียร์อัตโนมัติสกายแอคทีฟ 6 สปีด และแมนนวลโหมด ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go ปรับเพิ่ม-ลดความเร็วตามรถคันหน้าแบบอัตโนมัติจนถึงจุดหยุดนิ่ง


*ทดสอบตามมาตรฐาน UN R101 ในห้องปฏิบัติการ ในด้านการออกแบบนั้น Mazda6 20th Anniversary Edition ได้รับการถ่ายทอดภาพลักษณ์ความภูมิฐาน ที่ผสมผสานระหว่างความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวและความหรูหราสง่างามในรูปแบบสปอร์ตซีดาน ภายในตกแต่งอย่างประณีตด้วยวัสดุคุณภาพสูง ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยหนัง Faux Suede
Leganu® สีแทน พรีเมี่ยมทุกจุดสัมผัส รวมถึงเบาะหนัง Nappa สีแทน ระบบเสียง Bose® คุณภาพพรีเมี่ยม ระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัย i-Activsense ครบทุกระบบ พร้อมสัญลักษณ์บ่งบอกความพิเศษบริเวณต่างๆ ของตัวรถ ได้แก่ สัญลักษณ์พิเศษครบรอบ 20 ปี ที่พนักพิงศีรษะเบาะคู่หน้า และชุดพรมปูพื้นห้องโดยสาร ป้ายสัญลักษณ์พิเศษครบรอบ 20 ปี ที่ซุ้มล้อหน้าซ้าย-ขวา และกุญแจรีโมทตามสีภายนอก บ่งบอกถึงการเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 20 ปี ทำให้รถยนต์รุ่นพิเศษนี้แตกต่างโดดเด่นจากรถรุ่นอื่นอย่างชัดเจน โดยมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยม นักธุรกิจชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ผู้บริหารระดับผู้นำสูงสุดขององค์กร แฟนพันธุ์แท้มาสด้า
และผู้ที่ชื่นชอบคาแร็กเตอร์ของรถมาสด้า ที่มอบความสนุกสนานในการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจน ถ่ายทอดภาพลักษณ์ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลงตัว ไม่เพียงเท่านี้ มาสด้ายังได้พัฒนา Mazda6 20th Anniversary Edition ให้มีความพิเศษมากยิ่งขึ้น

ด้วยการเลือกสีตัวถังพิเศษที่เรียกว่า สีแดง Artisan Red Premium และ สีขาว Rhodium White Premium เป็นสีใหม่ที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีการพ่นสีขั้นสูง ประกอบด้วยเกล็ดอลูมินัมที่มีความบางเป็นพิเศษแต่มีหนาแน่นสูง ด้วยเทคโนโลยี Takuminuri โดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญพิเศษ เป็นสีที่ได้รับการพัฒนาเพื่อถ่ายทอดความงดงามในทุกมุมมองเรียบลื่นราวกับผ้าไหม บ่งบอกถึงความพรีเมี่ยมเหนือระดับ
นอกจากมาสด้าจะนำ Mazda6 20th Anniversary Edition มาแนะนำและเปิดให้จองสิทธิ์ภายในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023 แล้ว มาสด้ายังได้นำยนตรกรรมมาสด้าทุกรุ่นมาจัดแสดงให้ลูกค้าได้จับจองเป็นเจ้าของ
พร้อมกับเซอร์ไพรส์พิเศษ ด้วยการนำรถ New Mazda2 ในแบบแฮชท์แบ็ค 5 ประตู ที่ตกแต่งด้วยชุดแต่ง Sci-Fi ** มาจัดแสดงให้แฟนๆ ได้ยลโฉม โดยเลือกใช้สีภายนอกโทนเข้มและหลังคาสีดำ ที่ตัดกับชุดตกแต่งสีเขียว Lime Green บนชุดสปอยเลอร์หลัง คิ้วตกแต่งกระจังหน้าและกันชนหลัง มาพร้อมชุดสติกเกอร์ Sci-Fi บริเวณกระจังหน้า ชุดครอบกระจกมองข้างและฝาครอบล้อสีดำ ที่มอบความเรียบง่าย สนุกสนาน และเต็มไปด้วยลูกเล่นที่โดดเด่นลงตัว นอกจากนั้นยังนำ New Mazda2
ในแบบซีดาน 4 ประตู ที่ได้รับการเนรมิตโฉมแบบใหม่ด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่ง Clap Pop Sedan **ชุดครอบกระจกมองข้าง สีขาว Ceramic Metallic ชุดฝาครอบล้อ สีขาว Ceramic Metallic และหลังคาสีขาว
มาจัดแสดงให้เป็นไอเดียให้ลูกค้าที่ชอบความมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใครได้นำไปเป็นแบบอย่างในการแต่งรถอีกหนึ่งรุ่น ที่สำคัญมาสด้ายังมอบข้อเสนอสุดพิเศษอีกมากมาย อาทิ ลูกค้า 300 ท่านแรก ที่จองขั้นต่ำ
5,000 บาท ภายในงานฯ และออกรถภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566
รับฟรีของพรีเมี่ยมสุดพิเศษจากมาสด้า พร้อมมอบสิทธิพิเศษให้กับเจ้าของรถมาสด้าและครอบครัว เมื่อออกรถใหม่ รับ ฟรี บัตรน้ำมัน มูลค่า 10,000 บาท *** รวมถึงมอบข้อเสนอมากมายส่งท้ายปี ไม่ว่าจะเป็น
 New Mazda2: ดอกเบี้ย 0% 1 , ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี 2 หรือ ดอกเบี้ย 0.59% 3 , ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี 2 หรือ ดอกเบี้ย
1.39% 4 , ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี 2 ,
ฟรีแพ็กเกจบำรุงรักษารถตามระยะ Mazda Care 5 ปี (รวมค่าแรง ค่าอะไหล่ และของเหลว) 5
 Mazda3 และ Mazda3 Carbon Edition: ดอกเบี้ย 2.39% 4 , ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี 2 , ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS) 6 หรือ ดอกเบี้ย 1.39% 4 , ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี 2
 New Mazda CX-3: ดอกเบี้ย 2.39% 4 , ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1
ปี 2 , ฟรีแพ็กเกจบำรุงรักษารถตามระยะ Mazda Care 5 ปี (รวมค่าแรง ค่าอะไหล่ และของเหลว) 5 หรือ ดอกเบี้ย 1.19% 4 , ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี 2
 Mazda CX-30 และ Mazda CX-30 Carbon Edition: ดอกเบี้ย 0% 4 , ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง
Mazda Premium Insurance 1 ปี 2 หรือ ดอกเบี้ย 0.99% 4 , ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี 2 , ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS) 6
 Mazda CX-5: ดอกเบี้ย 2.39% 4 , ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี 2 , ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS) 6 หรือ ดอกเบี้ย 1.39% 4

ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี 2
 Mazda CX-8: ดอกเบี้ย 2.39% 4 , ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี 2 , ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS) 6 หรือ ดอกเบี้ย 1.49% 4 ,
ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี 2
ลูกค้าที่สนใจรถยนต์นั่ง Mazda6 20th Anniversary Edition รุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 20 ปี ที่มีให้ครอบครองเป็นเจ้าของเพียง 100 คัน ในประเทศไทย สามารถยลโฉมคันจริงได้ที่งาน มอเตอร์
เอ็กซ์โป 2023 ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 – 11 ธันวาคม 2566 นี้ เท่านั้น สำหรับลูกค้าที่สนใจรถยนต์มาสด้าทุกรุ่น ทุกคัน รับข้อเสนอพิเศษดีๆ เช่นนี้เฉพาะช่วงปลายปี สามารถเข้าชมและจับจองได้ภายในงานฯ หรือที่โชว์รูมมาสด้าใกล้บ้านทั่วประเทศ

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation

จี๊ป ประเทศไทย เผยโฉม ‘ออล-นิว แกรนด์ เชอเรอกี โฟว์ บาย อี ปลั๊ก-อินไฮบริด’ จัดแสดงพร้อมรับจองสิทธิ์ ภายในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40

จี๊ป ประเทศไทย ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ จี๊ป อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดตัว ‘ออล-นิว แกรนด์ เชอเรอกี รุ่น ซัมมิท รีเซิร์ฟ โฟว์ บาย อี ปลั๊ก-อินไฮบริด’ (All-new Grand Cherokee Summit Reserve 4xe Plug-in Hybrid) โฉมใหม่ของพรีเมียมเอสยูวีอเนกประสงค์
ที่ทำตลาดโลกมานานกว่า 30 ปี ได้รับการยกย่องให้เป็นเอสยูวีที่ได้รับรางวัลเป็นจำนวนมากที่สุด (The Most Awarded SUV Ever) อาทิ เอสยูวีขนาดกลางยอดเยี่ยมประจำปี 2566 จากสมาคมสื่อมวลชน สายยานยนต์ของ New England (2023 NEMPA Best in Class Mid-Size SUV), ยนตรกรรมที่มีความปลอดภัยมากสุดประจำปี 2566 จาก Insurance Institute for Highway Safety (2023 IIHS TOP SAFETY PICK+), ยนตรกรรมยอดนิยมแห่งชาติ 20 ปีซ้อน (Most Patriotic Brand for
20 Consucutive Years) รวมถึงรางวัล 2022 Best Two-Row SUV, 2022 IntelliChoice Best Overall Value Winner, 2022 IntelliChoice Lowest Cost of Ownership Winner และ 2022 IntelliChoice Multiple Smart Choice Winner ทันสมัยด้วยการใช้ขุมพลังปลั๊ก-อินไฮบริด
ครองใจผู้ชื่นชอบยนตรกรรมพันธุ์แกร่งสัญชาติอเมริกันอย่างต่อเนื่อง
สุนทรพันธ์ เดชะเทศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบลฟอร์ต ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จี๊ป เป็นยนตรกรรมพันธุ์แกร่งสัญชาติอเมริกัน ภายใต้สเตลแลนทิส (STELLANTIS) กลุ่มธุรกิจซึ่งเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก โดย จี๊ป ได้รับการยกย่องให้เป็นแบรนด์ระดับไอคอน กับประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 83 ปี สะท้อนความอิสระเสรีแบบอเมริกัน และเคยมี


ส่วนร่วมในหลายเหตุการณ์สำคัญของโลก ซึ่งทางบริษัทฯ มีความภูมิใจที่จะนำเสนอรถยนต์ จี๊ป รุ่นใหม่ ‘ออล-นิว แกรนด์ เชอเรอกี รุ่น ซัมมิท รีเซิร์ฟ โฟว์ บาย อี ปลั๊ก-อิน ไฮบริด’ ให้ลูกค้า ในประเทศไทยได้สัมผัส พร้อมเปิดรับจองสิทธิ์ในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-11 ธันวาคมนี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีกำหนดส่งมอบรถยนต์ช่วงต้นไตรมาสที่สอง ปี 2567”
++ งามสง่าเหนือระดับ ประทับใจทุกมุมมอง ออล-นิว จี๊ป แกรนด์ เชอเรอกี รุ่น ซัมมิท รีเซิร์ฟ โฟร์ บาย อี ปลั๊ก-อิน ไฮบริด มาพร้อมรูปลักษณ์ ที่ผ่านการออกแบบใหม่ ให้ความงามสง่า หรูหรา และโดดเด่น กับสีสันแบบทูโทน หลังคาสีดำเงา ตัดกันกับสีรถอย่างลงตัว กระจังหน้าแบบ 7 ช่อง ตกแต่งด้วยโครเมียม เอกลักษณ์ของรถยนต์ จี๊ป ติดตั้งไฟหน้าอัตโนมัติแบบแอลอีดี โลโก้สัญลักษณ์รอบคันล้อมกรอบด้วยสีฟ้า บ่งบอกถึงการเป็นยนตรกรรมไฟฟ้า ปิดท้ายความอลังการด้วยท่อไอเสียแบบคู่ และล้ออัลลอยขนาด21 นิ้ว


++ ขุมพลังปลั๊ก-อินไฮบริด ทันสมัย ใช้เชื้อเพลิงคุ้มค่า
ขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ กับขุมพลังปลั๊ก-อินไฮบริดอันทันสมัย เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบ 2.0 ลิตร ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า ทำได้ 381 แรงม้า (HP) แรงบิด 637 นิวตันเมตร ส่งกำลัง สู่ล้อทั้ง 4 ผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ และสามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน ได้เป็นระยะทางสูงสุด 37 กิโลเมตร
++ พิชิตทุกเส้นทาง ด้วยระบบช่วงล่าง ‘QUADRA-LIFT’
‘ออล-นิว จี๊ป แกรนด์ เชอเรอกี รุ่น ซัมมิท รีเซิร์ฟ โฟร์ บาย อี ปลั๊ก-อินไฮบริด’ พร้อมนำผู้โดยสาร
สู่จุดหมายอย่างสะดวกสบายในทุกสภาพเส้นทาง ด้วยระบบช่วงล่างถุงลม ‘คอดดร้า ลิฟท์’ (Quadra Lift) และ Semi-active damping ปรับความสูงอัตโนมัติ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ‘คอดดร้า แทรก ทู’ (Quadra Trac II), ‘ซีเล็ก-เทอร์เรน’ (Selec-terrain) ที่มากับ 5 โหมดการขับ คือ
Auto, Snow, Sand, Mud และ Rock รวมถึงระบบเฟืองท้ายขับเคลื่อนล้อหลังแบบไฟฟ้า (Electronic Limited Slip Differential Rear Axle) พร้อมสำหรับการผจญภัยในแบบออฟ-โรด อุ่นใจไปกับเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน อาทิ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และหัวเข่า
ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติจนถึงหยุดนิ่ง ระบบเบรกไฟฟ้า ‘โฮล แอน โก’ (hold ‘n go) กล้องแสดงมุมมองด้านหน้าและรอบคัน พร้อมโหมดแสดงภาพในที่มืด (Night Vision)
และกระจกมองหลังดิจิทัล ปรับลดแสงอัตโนมัติ
++ นวัตกรรมล้ำสมัย หรูหราที่สุดในรถยนต์กลุ่มเดียวกัน
นับเป็นยนตรกรรมที่มาพร้อมนวัตกรรมอันทันสมัย กระจกรอบคันแบบพิเศษ ช่วยลดเสียงรบกวนด้านหน้าผู้ขับติดตั้งจอแสดงผลอเนกประสงค์แบบทีเอฟที (TFT-Thin Film Transistor) ขนาด 10.25 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD พร้อมระบบเฮด-อัพดิสเพลย์ แสดงข้อมูลบนกระจกหน้า ขณะที่บริเวณกลางแดชบอร์ดเป็นทัชสกรีนขนาด 10.1 นิ้ว ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ ‘Uconnect 5’ รองรับ Android Auto และ Apple Car Play พร้อมเพลิดเพลินกับ ‘McIntosh’ เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ 19 ลำโพง นอกจากนั้นยังได้รับการยกย่องให้เป็นห้องโดยสารที่หรูหรามากสุด เทียบกับรถยนต์กลุ่มเดียวกัน เพราะผ่านการตกแต่งด้วยวัสดุระดับพรีเมียม เบาะคู่หน้าหุ้มหนังแท้ Fine Grain คุณภาพสูง ‘ปาแลร์โม นับปา’ (Palermo Nappa) ปรับทิศทางด้วยไฟฟ้า 12 ตำแหน่ง พร้อมระบบระบายอากาศและฟังก์ชันนวดแผ่นหลัง ตกแต่งตามจุดต่างๆ ด้วยลายไม้วอลนัตพาโนรามิกซันรูฟ 2 ส่วน (Dual-Pane Panoramic Sunroof) ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย พร้อมระบบปรับอากาศแบบ 4 โซน ปัจจุบัน จี๊ป ประเทศไทย มีโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการครบวงจร ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ทั้งหมด 5 แห่ง และอีก 1 สตูดิโอ พร้อมบริการลูกค้าและผู้สนใจรถ จี๊ป ได้แก่ โชว์รูมสุขุมวิท, วงเวียนพระราม 5 -ราชพฤกษ์, สตูดิโอจัดแสดงรถที่จังหวัดภูเก็ต โดยไลอ้อน ออโตโมบิล, โชว์รูมพัทยา โดยสเตลล่า มอเตอร์, โชว์รูมนิมิตใหม่ โดยพีแอนด์เอส จี๊ป และโชว์รูมเชียงใหม่ โดยเชียงใหม่ ออโต้ ซึ่งเป็นโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการครบวงจรแห่งล่าสุด ที่เพิ่งเปิดให้บริการ ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน


ที่ผ่านมาพิเศษ สำหรับผู้ที่จองสิทธิ์ตั้งแต่วันนี้ ถึง 11 ธันวาคม รับบัตรกำนัลห้องพัก 3 วัน 2 คืน ณ อินเตอร์ คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท และลำโพง Wireless Loudspeaker จาก McIntosh รวมมูลค่ากว่า
90,000 บาท*ยิ่งไปกว่านั้น ก็สมทบด้วย 2 ยนตรกรรมพันธุ์แกร่ง ที่ได้รับฉายา ‘ราชา-ออฟโรด’ กับ แรงเลอร์ รูบิคอน (Wrangler Rubicon) และ กลาดิเอเตอร์ รูบิคอน (Gladiator Rubicon) มาพร้อมข้อเสนอพิเศษ
ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง และอุุปกรณ์ตกแต่ง Mopar แท้ มูลค่าสูงสุด 200,000 บาท*ออล-นิว จี๊ป แกรนด์ เชอเรอกี รุ่น ซัมมิท รีเซิร์ฟ โฟร์ บาย อี ปลั๊ก-อินไฮบริด ราคาประมาณการไม่เกิน 5,500,000 บาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ จี๊ป ประเทศไทย
โทร. ‘1488 ALWAYS CONNECTED’
LINE: @jeepthailand
FACEBOOK: JeepThailand
WEBSITE: http://www.jeep.co.th

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

หมวดหมู่
Car Review Lormhuntuathai New Cars New Innovation

มาสด้าชวนลูกค้าร่วมแบ่งปันความสุขให้เด็กนักเรียนพร้อมเปิดประสบการณ์การขับขี่รถยนต์มาสด้าแบบเอ็กซ์คลูซีฟ

กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 –มาสด้าสานต่อปณิธานในการส่งมอบความยั่งยืนให้กับสังคม พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมไทย ประสาน 4 ดีลเลอร์ พาลูกค้าออกไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ด้วยคาราวานรถยนต์มาสด้าออกเดินทางไปมอบอุปกรณ์การเรียนการสอน ทุนการศึกษา และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กนักเรียน ณ โรงเรียนวัดถั่วทอง จังหวัดปทุมธานี ภายใต้กิจกรรม Mazda
ปันสุข Skyactiv Driving Experience พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เรียนรู้เทคนิคการขับขี่ขั้นสูง และสัมผัสรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นที่มาพร้อ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ณ สนาม ปทุมธานี
สปีดเวย์ โดยกิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “มาสด้า ปันสุข” ที่มาสด้าเริ่มมาตั้งแต่ปี 2563 เพื่อให้การสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดสังคมแห่งการแบ่งปันอย่างยั่งยืนในประเทศไทย ตามวิสัยทัศน์
Sustainable Zoom-Zoom 2030 เพื่อโลก เพื่อสังคม และเพื่อผู้คน ที่ยั่งยืนตลอดไป


มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจควบคู่กับการสร้างสรรค์โลกของเราให้คงความสวยงาม ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน และสร้างสังคมที่ยั่งยืน คือสิ่งที่มาสด้าให้ความสำคัญเสมอมา มาสด้าจึงแสวงหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการส่งมอบเทคโนโลยียานยนต์ที่มีคุณภาพและความปลอดภัยให้กับลูกค้าทุกคน
ควบคู่กับสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ มาสด้าจึงได้ริเริ่มโครงการ “มาสด้า ปันสุข” ขึ้น และดำเนินงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 นับตั้งแต่การระบาดของโรคโควิด-19 โดยได้รับการสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมจากผู้จำหน่าย ลูกค้า และพันธมิตรทุกภาคส่วน ในการส่งมอบความสุขและความยั่งยืนกลับคืนสู่สังคม ด้วยการออกเดินทางไปในทุกพื้นที่ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อให้การช่วยเหลือเยาวชนและประชาชนในพื้นที่ที่ขาดแคลน รวมถึงมีส่วนร่วมเป็นสะพานในการส่งต่อการแบ่งปันให้กับกลุ่มผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อบรรเทาทุกข์และช่วยให้ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นในการดำเนินชีวิตประจำวัน

ซึ่งในปีนี้ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จึงได้สานต่อโครงการ “มาสด้า ปันสุข” ภายใต้ชื่อกิจกรรม Mazda ปันสุข Skyactiv Driving Experience โดยได้รับความร่วมมือจากผู้จำหน่ายมาสด้า 4 แห่ง ในกรุงเทพฯ และปทุมธานี คือ กลุ่มบริษัท 14 ออโตโมทีฟ, บริษัท พระราม 7 กรุ๊ป, กลุ่มบริษัท ดำรงทรัพย์มาสด้า และ กลุ่มบริษัท แอลบา ทรอส ออโต้ พร้อมลูกค้าผู้ใช้รถยนต์มาสด้า รวมจำนวนกว่า 90 คน ออกเดินทางในรูปแบบคาราวานรถยนต์มาสด้าภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ กว่า 40 คัน มุ่งหน้าไปยังโรงเรียนวัดถั่วทอง จังหวัดปทุมธานี เพื่อมอบอุปกรณ์ของใช้ที่จำเป็นสำหรับการเรียนการสอน อุปกรณ์การเกษตร และทุนการศึกษา

ให้กับเด็กนักเรียน เพื่อให้เด็กๆ เข้าถึงสื่อการเรียนการสอนได้ครบครันยิ่งขึ้น และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น โรงเรียนวัดถั่วทอง ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านปทุม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่เปิดสอนในระดับชั้น อ.2 – ป. 6 มีจำนวนนักเรียน 76 คน และ ครู 12 คน
จากการออกสำรวจพบว่าโรงเรียนแห่งนี้ยังขาดแคลนอุปกรณ์ที่จำเป็นหลายอย่างในการพัฒนาการศึกษา และผู้ปกครองส่วนใหญ่มีรายได้ไม่มากนัก ดังนั้น มาสด้าจึงได้เดินทางไปให้การสนับสนุน เพื่อให้เด็กนักเรียนได้มีโอกาสในการเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเรียน
และเพื่อให้สามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกษ์ใช้ในการประกอบอาชีพได้ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ คณะฯ ยังได้จัดเตรียมเมนูอาหารกลางวันที่เด็กๆ ชื่นชอบ และถูกต้องตามหลักโภชนาการไปมอบให้กับเด็กนักเรียนด้วย ซึ่งเรียกรอยยิ้มและสร้างความสุขให้กับทั้งผู้ให้และผู้รับได้ปลื้มปิติไปด้วยกัน


นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นอกจากจะส่งต่อการแบ่งปันให้กับเด็กนักเรียนในช่วงเช้า ณ โรงเรียนวัดถั่วทองแล้ว ในช่วงบ่าย มาสด้ายังได้จัดกิจกรรม Skyactiv Driving Experience เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถยนต์มาสด้ารุ่นใหม่แบบเอ็กซ์คลูซีฟ
พร้อมเสริมทักษะการขับขี่ตามแนวคิด Jinba-Ittai ความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถ ได้เรียนรู้เทคนิคในการขับขี่อย่างไรให้ปลอดภัยสูงสุด
การแก้ไขปัญหาและการบังคับควบคุมรถในสถานการณ์ฉุกเฉิน เรียนรู้การทำงานของระบบต่างๆ และเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในรถยนต์มาสด้า
โดยได้ทดลองขับรถยนต์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีสกายแอคทีฟครบทุกรุ่น ณ สนาม ปทุมธานี สปีดเวย์ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบรถยนต์

นำโดย อั๋น สิรคุปต์ เมทะนี มาบรรยายให้ความรู้และให้คำแนะนำให้กับลูกค้าที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสุขและความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับลูกค้าผ่านการเป็นเจ้าของรถยนต์
หรือ “Joy of driving” ตามที่มาสด้าตั้งใจถ่ายทอดให้กับลูกค้าทุกคน
มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ขอขอบคุณผู้จำหน่ายและลูกค้าเป็นอย่างสูง
ที่ให้เกียรติเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ มาสด้าให้คำมั่นสัญญาว่าจะยังคงสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ เช่นนี้ ร่วมกับผู้จำหน่ายและลูกค้าของเราให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของผู้คนและสังคมในทุกด้านด้วยรถยนต์ของเรา ให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
เพื่อความสุข และเติมเต็มรอยยิ้มของคนไทย รวมถึงผลักดันโครงการต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อลูกค้า เพื่อสร้างความรักความผูกพันให้แน่นแฟ้นและยืนยาวมากยิ่งขึ้น แทนคำขอบคุณที่เชื่อมั่นในแบรนด์และเลือกรถยนต์มาสด้าเป็นเพื่อนคู่ใจ เพื่อความสุขของสมาชิกทุกคนในครอบครัว


บรรยายภาพประกอบ Mazda_1 มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย กล่าวต้อนรับลูกค้า
Mazda_2 นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประบริหารอาวุโส กล่าวถึงวัตถุประสงค์กิจกรรม Mazdaปันสุข และกิจกรรม Mazda Skyactiv Driving Experience
Mazda_3 สมาชิกพร้อมออกเดินทางกับภาระกิจ Mazda ปันสุข

Mazda_4 คาราวานรถยนต์มาสด้าทั้ง 40 คัน 90 คน เดินทางถึงโรงเรียนวัดถั่วทอง
Mazda_5-6 การแสดงชุดพิเศษจากนักเรียน โรงเรียนวัดถั่วทอง ต้อนรับคณะมาสด้า
Mazda_7-8 ถ่ายภาพร่วมกันทั้งมาสด้า ผู้จำหน่ายมาสด้า คณะครู และนักเรียน
Mazda_9 อาหารกลางวันมื้อพิเศษแสนอร่อยพร้อมเสิร์ฟ
Mazda_10 บรรยายสรุปกิจกรรม Mazda Skyactiv Driving Experience
Mazda_11 รถยนต์มาสด้าทุกรุ่นพร้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสกันแบบเต็มที่
Mazda_12-18 กิจกรรมทดลองขับ สนุกสนานทั้งคน ทั้งรถ เพื่อความสุขของลูกค้า Joy of driving
Mazda_19 นำทีมโดย อั๋น สิรคุปต์ เมทะนี ที่วางสเตชั่นให้ได้ลองทุกระบบแบบสุดมันส์
Mazda_20 ประธานบริหารมอบใบประกาศนียบัตรหลังผ่านการอบรมทักษะการขับขี่ พร้อมของที่ระลึก
Mazda_21 ร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกก่อนเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เปิดสเปค เปิดราคา ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท และ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ อัลตร้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ ที่สุดของเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อฟูลไทม์ ไปให้สุดทุกสภาพถนน

กรุงเทพฯ – 10 พฤศจิกายน 2566: บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดสเปครถกระบะไทรทันใหม่ 2 รุ่นท็อป ได้แก่ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์
“ไฮเปอร์พาวเวอร์ เอ็กซ์ทู” (Hyper Power X 2 ) อันทรงพลัง ด้วยพละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร และ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ ขับเคลื่อน 4 ล้อ อัลตร้า เกียร์อัตโนมัติ
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ “ไฮเปอร์พาวเวอร์” (Hyper Power) กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ให้อัตราประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้ออกแบบออล-นิว ไทรทัน ทุกรุ่นขึ้นใหม่ทั้งหมด
เพื่อตอบโจทย์ความเป็นรถปิกอัพส่วนตัวสำหรับคนยุคใหม่ โดยเน้นที่ความสะดวกสบายสุดหรูของห้องโดยสาร เติมเต็มสุนทรียภาพขณะขับขี่ให้เทียบเคียงได้กับรถเอสยูวียุโรป พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ
ที่ครบครัน ตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูงให้ความนุ่มนวลทุกสัมผัสจับถนัดคล่องตัว ทั้งยังมีเบาะดีไซน์ใหม่ที่ช่วยโอบอุ้มสรีระลดความเหนื่อยล้าแม้ต้องขับในระยะไกล ผสานช่วงล่างใหม่ แชสซีส์ใหม่ที่ใหญ่ขึ้น และเฟรมใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม (เมกาเฟรม) ให้สมรรถนะการขับขี่ที่นุ่มสบาย
คล่องตัวทั้งในเมืองและขณะเดินทางไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ออล-นิว ไทรทัน แอทลีท ที่สุดของรถปิกอัพสไตล์สปอร์ต โดดเด่นทั้งภายนอกและภายใน สะกดทุกสายตาด้วยเส้นสายที่คมเข้ม ขณะที่
ออล-นิว ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ อัลตร้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ
ได้รับการออกแบบในสไตล์โฉบเฉี่ยว หล่อเข้มไม่ซ้ำใคร

เทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน ไดมอนด์ เซนส์ ที่มาพร้อมกับระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (Diamond Sense with Adaptive Cruise Control) ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ทั้งในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และขับเคลื่อน 2 ล้อ และ ดับเบิ้ล แค็บ อัลตร้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน ไดมอนด์ เซนส์
ทีมีระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (Diamond Sense with Adaptive Cruise Control) อันชาญฉลาด ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation
System: FCM) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW) พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist: LCA) ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert: RCTA) ระบบปรับระดับไฟสูง-

ต่ำอัตโนมัติ (Auto High Beam: AHB) กล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor: MAM) ซึ่งเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งหมดนี้
สามารถตรวจจับการเคลื่อนที่ของตัวรถและสภาพแวดล้อมด้วยเซ็นเซอร์และเรดาร์ที่ควบคุมด้วยระบบ AI ได้รอบคัน เพื่อความปลอดภัยแบบ 360 องศา ทั้งยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆ ที่ช่วยให้ขับขี่ได้ง่ายดายควบคุมรถได้ดังใจ อาทิ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL) ระบบลิมิเต็ดสลิปที่เฟืองท้ายแบบควบคุมด้วยเบรก (Active LSD) เสริมด้วยถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง นอกจากนี้ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ยังมาพร้อมกับเครื่องยนต์ “ไฮเปอร์พาวเวอร์ เอ็กซ์ทู” (Hyper Power X 2 ) ซึ่งมีระบบเทอร์โบสองสเตจ (Two-stage Turbocharger) และระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า (Electric Power Steering: EPS) ช่วยให้ขับขี่คล่องตัว ควบคุมได้ดังใจ โดยคุณสมบัติอันโดดเด่นทั้งหมดนี้เพียบพร้อมอยู่ใน ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ซึ่งมีสีตัวถังให้เลือก 4 สี คือ สีดำ Jet Black Mica สีเทา Graphite Grey สีขาว White Diamond และพิเศษกับสีส้ม Yamabuki Orange Metallic ที่เป็นสีเฉพาะของรุ่นแอทลีท โดดเด่น สะกดทุกสายตา และภายในห้องโดยสารยังคงดีไซน์สปอร์ตด้วยการตกแต่งทูโทนสีส้ม-ดำ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ “ซูเปอร์ซีเล็คต์ โฟร์วีลไดร์ฟ ทู” (Super Select 4WD II) เจ้าเดียวในตลาดที่มี 4H ฟูลไทม์ เสริมด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) และ 7 โหมดการขับขี่ ออล-นิว ไทรทัน แอทลีท ขับเคลื่อน 4 ล้อ (DOUBLE CAB ATHLETE 4WD 2.4 AT) และ ออล-นิว ไทรทัน
ดับเบิ้ล แค็บ อัลตร้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ (DOUBLE CAB 2.4 ULTRA 4WD AT) พร้อมพาคุณไปให้สุดทุกสภาพถนน ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ “ซูเปอร์ซีเล็คต์ โฟร์วีลไดร์ฟ ทู” (Super Select 4WD II) อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อฟูลไทม์ (Full- Time All Wheel Control) ซึ่งสามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ (4H) ได้ทันทีแม้ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง (Shift-on-the-Fly)
เสริมความปลอดภัยให้ขับขี่คล่องตัวพร้อมตะลุยทุกสภาพอากาศและทุกรูปแบบของพื้นผิว ด้วย 7 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมดปกติ (Normal), โหมดประหยัดเชื้อเพลิงและรักษ์โลก (Eco), โหมดขับขี่บนทางลูกรังหรือทางฝุ่น (Gravel), โหมดขับขี่บนพื้นหิมะหรือขณะฝนตกผิวถนนเปียกลื่น (Snow),โหมดขับขี่ลุยโคลนหรือผิวทางที่เหนียวลื่น (Mud), โหมดขับขี่ตะลุยทรายหรือผิวทางที่ดินร่วน (Sand),โหมดไต่หินหรือขับขี่บนผิวทางที่เป็นหินขรุขระ (Rock) และแตกต่างอย่างเหนือกว่าด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC)
เทคโนโลยี “มิตซูบิชิ คอนเนค” (MITSUBISHI CONNECT) ใช้งานง่าย
สั่งการตัวรถได้จากระยะไกล เพิ่มความอุ่นใจในทุกมิติ เทคโนโลยีเทเลมาติกส์ (Telematics) ซึ่งเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างคุณและรถยนต์ ซึ่งมีชื่อว่า “มิตซูบิชิ คอนเนค” (MITSUBISHI CONNECT) ที่ติดตั้งในออล-นิว ไทรทัน แอทลีท ทั้งในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และขับเคลื่อน 2 ล้อ รวมถึง ออล-นิว ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ ขับเคลื่อน 4 ล้อ อัลตร้า เกียร์อัตโนมัติ
สามารถรองรับได้ทั้งระบบ iOS และ Android โดยเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชัน “My MITSUBISHI CONNECT” เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในสั่งการตัวรถได้แบบไร้สายจากระยะไกล ใช้งานง่าย
ทั้งการเปิดระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารได้จากระยะไกล การล็อกและปลดล็อกประตูรถ การค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของตัวรถ การเปิดไฟส่องสว่าง และการกดแตรรถ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบข้อมูลสถานะตัวรถ เช่น ระดับน้ำมันคงเหลือและระยะทางที่วิ่งต่อได้ ความดันลมยาง
มีฟังก์ชันความปลอดภัยอื่นๆ อาทิ บริการช่วยเหลือบนถนน (Roadside Assistance) การแจ้งอัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ การช่วยเหลือเมื่อรถถูกโจรกรรม (Stolen Vehicle Assistance) และอุ่นใจตลอดเส้นทางด้วยระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS ผ่านตัวรถ (e-call) ราคาจำหน่ายรถกระบะไทรทันใหม่ 2 รุ่นท็อป ที่คุณสัมผัสได้แบบสุดคุ้ม ดังนี้:

  • ออล-นิว ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ อัลตร้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ ราคาเริ่มต้น 1,228,000 บาท
    โดยลูกค้าสามารถรับรถได้ในช่วงปักษ์แรกของเดือนธันวาคม 2566
  • ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ มีราคาประมาณการที่ 1,130,000 บาท ส่วนออล-
    นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มีราคาประมาณการที่ 1,300,000 บาท โดยทั้ง 2 รุ่น
    คาดว่าสามารถส่งมอบรถล็อตแรกได้ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567
    เตรียมพบกับ ออล-นิว ไทรทัน ทุกรุ่น พร้อมทดลองขับได้ที่งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” หรือ
    “MOTOR EXPO 2023” ระหว่างวันที่ 30 พ.ย. – 11 ธ.ค. 2566 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 – 3
    เมืองทองธานี
    ลูกค้าที่สนใจ สามารถชม ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ได้ที่โชว์รูมมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ทั่วประเทศ
    หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และนัดหมายเพื่อทดลองขับได้ที่ http://www.mitsubishi-motors.co.th หรือ มิตซูบิชิ
    คอลเซ็นเตอร์ หมายเลขโทรศัพท์ 02-079-9500 เปิดรับสายทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

SUZUKI CARRY ยอดขายสะสมทะลุ 60,728 คันพร้อมตอกย้ำภาพลักษณ์ รถคู่คิดธุรกิจ SMEเดินหน้าจัดกิจกรรมเพื่อสังคมต่อเนื่อง

“CARRY YOUR DREAM CARRY YOUR LIFE”

6 พฤศจิกายน 2566-กรุงเทพมหานคร-นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม
รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ซูซูกิได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดย่อมหรือ SME เป็นอย่างดี จนสามารถสร้างยอดขายรวมในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2566 จำนวน 2,125 คัน และผลักดันให้มียอดขายรวมนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2549 จนถึง ณ ปัจจุบัน มียอดขายรวมในประเทศไทยไปแล้วกว่า 60,728 คัน และเพื่อเป็นการตอกย้ำความนิยม และความสำคัญของ SUZUKI CARRY ในการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจขนาดย่อมที่กำลังเติบโตของตลาดในประเทศไทย โดยเฉพาะธุรกิจ SME ในรูปแบบแฟรนไชส์ ที่มีการขยายตลาดและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา


นอกเหนือจากการคำนึงถึงความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าที่จะได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีและมีคุ้มค่าในทุกด้านแล้ว “ซูซูกิ”
ยังมีความมุ่งมั่นที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการตอบแทนสังคมไทยผ่านแคมเปญ “SUZUKI Cause We Care-เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ” จึงเป็นความมุ่งหวังที่จะพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับช่วยเหลือเกื้อกูลชุมชนและสังคมให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
หนึ่งในโครงการสำคัญที่เรายังคงเดินหน้าส่งมอบความสุขกันมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 คือ กิจกรรม “CARRY YOUR DREAM CARRY YOUR LIFE” โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2565 ณ มูลนิธิคนตาบอดแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับความร่วมมือกับทั้งผู้ประกอบการที่เป็นพันธมิตร และผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิ ทำการดัดแปลงรถกระบะเพื่อการพาณิชย์อเนกประสงค์ SUZUKI CARRY ให้กลายเป็นร้านตัดผมเคลื่อนที่เพื่อนำไปให้บริการ พร้อมทั้งการมอบเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นไว้ให้ทางมูลนิธิฯ ซึ่งจากจุดเริ่มต้นในครั้งนั้น เราได้ขยายการจัดกิจกรรมการส่งมอบความสุขนี้ไปยังผู้ด้อยโอกาสทางสังคมยังสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน

ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา นับเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 7 ซูซูกิยังคงร่วมมือกับทางผู้ประกอบการร้านตัดผม จากร้าน Mug & Scissors และผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิในพื้นที่นำ SUZUKI CARRY Barber Truck มาให้บริการตัดผมแก่ผู้สูงอายุ ณ ศูนย์พัฒนาการสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านธรรมปกรณ์ จังหวัดเชียงใหม่
ศูนย์พัฒนาการสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านธรรมปกรณ์ มีสมาชิกในการดูแลทั้งหมด 122 ท่าน เข้ารับบริการตัดผมจาก SUZUKI CARRY Barber Truck จำนวน 30 ท่าน ซึ่งช่วยสร้างรอยยิ้ม สร้างความสุขและความประทับใจให้แก่ผู้สูงอายุทุกท่านได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังคงมอบเครื่องอุปโภค บริโภคที่จำเป็นแก่ทางศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมฯ โดยมีคุณศุภกานต์ อินทุทรัพย์ นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ
รักษาการผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านธรรมปกรณ์ เป็นผู้แทนในการรับมอบ นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า

การนำ SUZUKI CARRY Barber Truck ออกตระเวนให้บริการตัดผมแก่ประชาชนมาแล้วทั่วประเทศ นอกจากจะเป็นการสานต่อเจตนารมณ์อันดีเพื่อสังคมและผู้คนที่ซูซูกิมุ่งมั่นและตั้งใจแล้ว ยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า SUZUKI CARRY ไม่ใช่เป็นเพียงแค่รถบรรทุก แต่เป็นรถขนส่งความสุขในทุกเส้นทางความฝัน พร้อมจะเป็นยานพาหนะที่อยู่เคียงข้างร่วมฝ่าวิกฤตในทุกสถานการณ์ ซึ่งที่ผ่านมาได้พัฒนารูปแบบให้สามารถรองรับการดัดแปลงได้อย่างหลากหลายมากกว่าการเป็นรถขนสินค้าหรือสัมภาระแต่เปรียบเสมือนพาร์ทเนอร์คนสำคัญที่พร้อมจะสนับสนุนและร่วมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้าง ผู้ประกอบการด้วยความจริงใจ เดินหน้าไปสู่จุดหมายและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ซูซูกิ จึงได้นำเสนอแคมเปญพิเศษ สำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของกระบะบรรทุกอเนกประสงค์ขนาดเล็กรุ่นนี้ ด้วยการมอบข้อเสนอพิเศษ ส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่ารวมสูงสุด 10,000 บาท หรือ รับข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นเพียงวันละ 222 บาท หรือเลือกรับข้อเสนอดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% พร้อมฟรีประกันชั้น 1 ในปีแรก ซึ่งข้อเสนอพิเศษดังกล่าวจะเป็นการคิดรวมกับอุปกรณ์ตกแต่งรถเรียบร้อยแล้ว
(ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯที่กำหนด)

อีกทั้งเรายังมีพันธมิตรเป็นสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศเข้ามาร่วมเป็นเอ็กซ์คลูซีฟลีสซิ่ง ช่วยเรื่องการอนุมัติสินเชื่อให้มีความหลากหลายและช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถยนต์ซูซูกิได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ
ช่องทางการติดต่อ
http://www.suzuki.co.th
http://www.facebook.com/officialsuzukimotorthailand
SUZUKI Cause We Care: 1800-600-900

หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

มาสด้าสานต่อโครงการ “มาสด้า ปันสุข”เพื่อสร้างสรรค์โลก เพื่อผู้คน และสังคมที่ยั่งยืน

กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 – มาสด้าประกาศเดินหน้าสานต่อกิจกรรมด้าน CSR ตามแผนการดำเนินธุรกิจระยะกลาง Sustainable Zoom-Zoom 2030 อันเป็นวิสัยทัศน์ที่ มาสด้า มอเตอร์
คอร์ปอเรชั่น รวมถึงมาสด้าทั่วโลกและมาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ทั้งยังเป็นการเดินหน้าตา แนวทางSustainable Development Goals- SDGs หรือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งมีทั้งหมด 17 เป้าหมาย และสะท้อนถึง 3 เสาหลักของมิติความยั่งยืน
อันได้แก่ ด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งตรงกับพันธกิจของมาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น นั่นคือ เพื่อสร้างสรรค์โลกของเราให้ยังคงความสวยงาม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน และสร้างสังคมที่ยั่งยืนตลอดไป


มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่มาสด้าเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน อันเป็นพันธกิจหลักเช่นเดียวกับ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และมาสด้าทั่วโลก เราจึงมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมให้ยั่งยืน
ผ่านการให้ความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและยกระดับคุณภาพความเป็นอยู่ของผู้คน พร้อมกับให้ความสำคัญในการช่วยรักษาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์จากการผลิต ตามหลักการ Well-to-Wheel ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำของแหล่งกำเนิดพลังงาน ตั้งแต่การขุดเจาะ การผลิต การขนส่งเชื้อเพลิง ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพื่อโลกของเรา เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี และเพื่อให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สำหรับ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ได้ริเริ่มจัดกิจกรรมด้าน CSR นี้มาตั้งแต่เริ่มเกิดวิกฤตโควิด-19 โดยจัดกิจกรรมขึ้นภายใต้โครงการ “มาสด้า ปันสุข” โดยความร่วมมือกับผู้จำหน่ายมาสด้าในท้องถิ่น ชุมชน หน่วยงานภาครัฐ และโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ขาดแคลน ซึ่งจัดขึ้นมาแล้วทั้งหมด 9 จังหวัด รวมถึงมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ผ่านสภากาชาดไทย มอบรถปิกอัพ มาสด้า บีที-50 ให้กับโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์และศูนย์ฉีดวัคซีน เพื่อให้ความช่วยเหลือคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคดังกล่าว ทั้งนี้มาสด้าพร้อมเดินหน้าส่งมอบสิ่งดีๆ คืนกลับสู่สังคมไทย เพื่อส่งต่อความยั่งยืนของทั้งผู้คนในสังคม
พัฒนาเศรษฐกิจในชุมชน และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน โครงการ “มาสด้า ปันสุข” ถือกำเนิดขึ้นตามเจตนารมณ์ของ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทยและมีความปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมที่ยั่งยืน
เพื่อเป็นการตอบแทนประเทศและประชาชนคนไทยที่ให้การสนับสนุนและเชื่อมั่นในแบรนด์รถยนต์มาสด้า มาอย่างยาวนานกว่า 73 ปี ซึ่งมาสด้าเชื่อว่ากิจกรรมภายใต้โครงการฯ นี้ จะสามารถให้การช่วยเหลือผู้คน
และส่งเสริมให้เกิดสังคมแห่งการแบ่งปันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า


ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2563 มาสด้าได้เดินหน้าให้การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ชื่อโครงการ “มาสด้า ปันสุข” ซึ่งเป็นโครงการที่ให้การสนับสนุน และส่งเสริมให้เกิดสังคมแห่งการแบ่งปันอย่างยั่งยืน โดยเราได้เดินหน้าส่งมอบความสุขไปยังประชาชนคนไทยทั่วประเทศ เพื่อให้กำลังใจและให้ทุกคนลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้งภายหลังจากที่เกิดการระบาดของโควิด-19 โดยมาสด้าได้เดินหน้าเต็มรูปแบบจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อให้การช่วยเหลือผู้คนหลากหลายกลุ่มอาชีพ อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบอาชีพในแต่ละชุมชน
และเด็กนักเรียนที่ขาดแคลน โดยร่วมมือกับผู้จำหน่ายและสื่อมวลชนในการส่งต่อการแบ่งปันซึ่งได้จัดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
สำหรับโครงการฯ ในปี 2566 มาสด้าต้องการที่จะขยายการแบ่งปันไปยังผู้คนหลากหลายกลุ่มและหลากหลายพื้นที่มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้คนในแต่ละชุมชน โดยเฉพาะลูกค้ามาสด้า ได้มีส่วนร่วมมากขึ้นเพื่อส่งต่อการแบ่งปันไปด้วยกัน จึงเดินหน้าสานต่อโครงการ “มาสด้า ปันสุข” ปีที่ 4 ขึ้น โดยประสานความร่วมมือกับผู้จำหน่ายมาสด้าลูกค้าผู้ใช้รถยนต์มาสด้าทุกรุ่น รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจ ร่วมออกเดินทางไปเรียนรู้วิถีการผลิตวิชาชีพแบบชุมชน ส่งมอบอุปกรณ์การเรียนการสอน รวมถึงเลี้ยงอาหารกลางวันกับเด็กนักเรียน พร้อมร่วมกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน
“มาสด้าขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยผ่านกิจกรรมรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุข และเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ควบคู่กับการผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อรักษาโลกให้ยังคงสวยงามสำหรับผู้คนในเจเนอเรชั่นถัดไป ตามพันธกิจ เพื่อโลก เพื่อผู้คน และเพื่อสังคมที่ยั่งยืนตลอดไป” นายธีร์ กล่าวเสริม

หมวดหมู่
Car Review Lormhuntuathai New Innovation News

“ICONSIAM VINTAGE CAR SHOW” เชิญชมรถโบราณ รถคลาสสิค เรือ

สมาคมรถโบราณฯ ร่วมกับ ไอคอนสยาม จัดงาน “ICONSIAM VINTAGE CAR SHOW” อวดโฉมรถโบราณทรงคุณค่า หาชมยาก ณ ริเวอร์ พาร์ค  ไอคอนสยาม 27 -29 ตุลาคม 2566

ดร. อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการ สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย เผยว่า “สมาคมฯ ร่วมกับ ไอคอนสยาม  จัดงาน “ICONSIAM VINTAGE CAR SHOW”ภายใต้แนวคิด “Vintage Spirits are Timeless”เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว พร้อมฉลองครบรอบ 50 สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย โดยจัดแสดงรถโบราณ รถคลาสสิค และเรือหลากหลายประเภท ในบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างวันที่ 27–29 ตุลาคม 2566 โดยสมาคมฯ จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้ได้ 25 ล้านคนร่วมกับคนไทยทุกคน”

สุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า “งาน ICONSIAM VINTAGE CAR SHOW ครั้งแรกได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเยี่ยมจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ปีนี้จึงจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ตอกย้ำแนวคิดการดำเนินธุรกิจ “Collaboration to Win” ที่พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรในทุกมิติ สร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อส่งมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้ลูกค้าทุกคนที่มาเยือน”

ไฮไลท์ในงาน ได้แก่ รถ BMW 503 Coupe ปี 1956 ผลิตขึ้นเพียง 412 คัน ปัจจุบันมีไม่เกิน 100 คัน และรถคันนี้เป็นคันเดียวในเอเชีย

Mercedes-Benz 300SL Gullwing ปี 1955 รถสปอร์ทที่พัฒนาจากรถแข่ง ประตูปีกนก กวาดแชมพ์รายการ CARRERA PANAMERICANA ในสหรัฐอเมริกา และ LE MANS ในยุโรป

Alfa Romeo Duetto ปี 1966 รถสปอร์ตเปิดประทุน จากประเทศอิตาลี รูปทรงเพรียวลม คล้ายเรือติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 1600 cc. พละกำลัง 109 แรงม้า เหมาะสำหรับขับกินลมชมวิวในยุคนั้น

Ferrari 550 Barchetta ปี 2001 รถโรดสเตอร์ ซูเปอร์คาร์ ที่พัฒนาโดย Michael Schumacher ผลิตทั้งหมดเพียง 448 คัน พวงมาลัยขวาเพียง 42 คัน และมีคันเดียวในประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังมีรถโบราณ รถคลาสสิคที่น่าสนใจมากมาย รวมถึงเรือหลากหลายประเภท ที่ได้รับการสนับสนุนจาก พิพิธภัณฑ์คนรักรถ AUTO RENDEZVOUS MUSEUM-BANGKOK และงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40”

เชิญชมงานแสดงรถโบราณ “ICONSIAM VINTAGE CAR SHOW” และร่วมสนุกกับกิจกรรมชิงรางวัลมากมาย ระหว่างวันที่ 27–29 ตุลาคม 2566 ณ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1338 หรือ Facebook: ICONSIAM และ Facebook: Vintage Car Club of Thailand

หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

วอลโว่ ชวนคุณมาสัมผัสมิติใหม่แห่งความบันเทิงผ่านแอปพลิเคชัน

Prime Video และ YouTube บนรถยนต์วอลโว่อย่างเป็นทางการ

วอลโว่ เปิดตัวแอปพลิเคชันสตรีมวิดีโอรูปแบบใหม่ พร้อมที่จะยกระดับการรับชมภาพยนตร์ที่พรีเมียมยิ่งกว่าที่เคยบนรถยนต์วอลโว่ ผ่าน Prime Video และ YouTube แอปพลิเคชันที่จะช่วยเปลี่ยนบรรยากาศเดิม ๆ ภายในห้องโดยสาร ให้กลายเป็นพื้นที่ดูหนังของคุณได้ด้วยเพียงปลายนิ้วสัมผัส ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งของผู้ใช้งานในยุคปัจจุบัน พร้อมมอบคุณสมบัติใหม่ ๆ หลังการอัปเดตซอฟต์แวร์บนรถยนต์วอลโว่ของคุณ

การเพิ่มบริการแอปพลิเคชันสตรีมวิดีโอ Prime Video และ YouTube สะท้อนให้เห็นถึงทัศนวิสัยอันมุ่งมั่นที่ต้องการให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่ดีขึ้นและสนุกสนานมากยิ่งขึ้นเมื่อใช้รถวอลโว่ ยิ่งผู้ที่ต้องใช้เวลาร่วมกับรถเป็นเวลานาน อย่างครอบครัวที่ต้องรอรับ-ส่งลูก หรือกระทั่งการจอดรถชาร์จตามสเตชันต่าง ๆ การมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ลูกค้าได้มีทางเลือกในการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างการโลดแล่นไปบนแอปพลิเคชัน Prime Video และ YouTube อาจทำให้การใช้รถของพวกเขาสนุกมากยิ่งขึ้น

มร. คริส เวลส์, กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เราถือเป็นแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์รายแรก ๆ ที่นำเสนอ Prime Video และ Youtube บนรถยนต์วอลโว่ การเพิ่มบริการต่าง ๆ จะช่วยตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้ขับขี่ให้มีความสนุกกับไลฟ์สไตล์ของตนเองมากยิ่งขึ้นผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันในครั้งนี้ ”

  • Prime Video สามารถดาวน์โหลดบน Google Play Store ในรถยนต์วอลโว่ที่มี Google ในตัว
  • YouTube จะถูกติดตั้งอัตโนมัติเมื่อมีการอัปเดตซอฟต์แวร์ Over The Air (OTA) บนรถยนต์วอลโว่ที่มี Google ในตัว

ผู้ใช้งานจะสามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชัน Prime Video และ Youtube เพื่อรับชมความบันเทิงบนรถยนต์วอลโว่ของคุณหลังการอัพเดท Software version 2.11 ในเฉพาะรถวอลโว่รุ่น XC40 Pure Electric, C40 Pure Electric, S90 Recharge Plug-in Hybrid, XC60 Recharge Plug-in Hybrid รุ่นปี 2022 ขึ้นไป, S60 Recharge Plug-in Hybrid, V60 Recharge Plug-in Hybrid และ XC90 Recharge Plug-in Hybrid รุ่นปี 2023 ขึ้นไป

ความปลอดภัยต่อการขับขี่คือหัวใจหลักของวอลโว่ การใช้งานและเข้าถึงแอปพลิเคชันจะใช้งานได้เฉพาะเมื่อรถจอดนิ่ง หรือเท่ากับความเร็ว 0 กม./ชม. เท่านั้น

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับวอลโว่ได้ที่เว็บไซต์ www.volvocars.com/th และ http://www.facebook.com/volvocarsth  หรือเยี่ยมชม Volvo Studio Bangkok ได้ที่ชั้น 3 ห้างสรรพสินค้าไอคอนสยาม เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวอลโว่

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

เมอร์เซเดส-เบนซ์์ ขยายไลน์อัพ EQE SUV ครบ 3 รุ่นรองรับกลุ่มลูกค้าอีวีที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

พร้อมเผยไฮไลท์สุดพิเศษแบบจัดเต็มในงาน Mercedes-Benz StarFest

2023

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ย้ำวิสัยทัศน์ด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ทยอยเติมไลน์อัพอีวีให้ครบทุกเซกเมนต์ภายในปี 2025 เดินหน้าแนะนำรุ่นย่อยจากตระกูล EQE SUV อีก 2 รุ่น ประกอบด้วยรุ่นเริ่มต้นอย่าง “EQE 350 4MATIC SUV Electric Art” และรุ่นกลาง “EQE 350
4MATIC SUV AMG Line” เปิดตัวครบ 3 รุ่นย่อย หลังเผยโฉม “EQE 350 4MATIC SUV AMG Dynamic” เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
โดยลูกค้าทุกคนสามารถพบกับยนตรกรรมตระกูล EQE SUV
และรถอีวีสมรรถนะสูงรุ่นแรกในประเทศไทย “Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+”รวมถึงยนตรกรรมอีกหลากรุ่น พร้อมรับดีลและข้อเสนอสุดพิเศษ ได้ที่งาน Mercedes-Benz StarFest 2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 22 ตุลาคม ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และวันที่ 26 – 29 ตุลาคม ที่งานบางกอก อีวี เอ็กซ์โป (Bangkok EV Expo 2023) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์


มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มุ่งมั่นขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์
ในประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100%
เราเดินตามวิสัยทัศน์ระดับโลกในการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ให้ครอบคลุมอยู่ในทุกเซกเมนต์ ภายในปี 2025 เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในปี 2030 ในการทำให้รถยนต์นั่งในพอร์ตของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ทั้งหมด โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมและสถานการณ์ในตลาดรถยนต์โดยรวมของแต่ละประเทศ ทั้งนี้
ในประเทศไทย เรามีการแนะนำอีวีในหลายเซกเมนต์อย่างต่อเนื่อง
เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าทุกคน นอกจาก 2 รุ่นล่าสุดอย่าง “EQE 350 4MATIC SUV AMG Dynamic” และ “Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+” ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน “Ambition for the Future” และได้รับการตอบรับที่ดีจากการเปิดจองผ่านช่องทางออนไลน์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าชาวไทยมีความต้องการและมองหารถอีวีระดับลักชัวรี่ในรูปแบบเอสยูวีและรถอี
วีสมรรถนะสูง ในครั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าด้วยการเปิดตัวรุ่นย่อยในตระกูล

EQE SUV อีก 2 รุ่น รวมเป็นทั้งหมด 3 รุ่น โดยทุกรุ่นจะนำเสนอความโดดเด่นตามแบบฉบับของ EQE SUV ซึ่งถูกออกแบบภายใต้นิยาม “Electric. Crafted by Mercedes-Benz” ชูจุดเด่นของรถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ที่เหมาะกับการขับขี่ทุกรูปแบบทั้งในแบบ On-Road และ Off-Road รองรับกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์และความต้องการที่แตกต่าง”
EQE SUV เป็นรถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ที่เปิดตัวในประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ รุ่นเริ่มต้น “EQE 350 4MATIC SUV Electric Art” รุ่นกลาง “EQE 350 4MATIC SUV AMG Line” และรุ่นท็อป
“EQE 350 4MATIC SUV AMG Dynamic” โดยมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PSM (Permanently Excited Synchronous Motors) มอบกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 292 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 765 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.6 วินาที ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูง 396V แบบLithium-ion ที่มีความจุมากถึง 89 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลกว่า 558 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 170 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 10 –80% เพียง 32 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 9 ชั่วโมง 30 นาที ทัพยนตรกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และไฮไลท์ในงาน “Mercedes-Benz StarFest 2023”Mercedes-Benz StarFest 2023 มาพร้อมแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ พร้อมให้ทุกคนได้สัมผัสกับการเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในประเทศไทยของรถยนต์พลังงานไฟ
ฟ้า 100% ในตระกูล EQE ทั้งรุ่น SUV และรุ่นสมรรถนะสูงจาก Mercedes-AMG รวมถึงยนตรกรรมหลากรุ่นที่มาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษจาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ พบไฮไลท์พิเศษกับการพูดคุยโดยพิธีกรและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง อาทิ “อู๋ Spin 9” “ซู่ชิ่ง – จิตต์สุภา” และ “ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน” รวมถึงนักพยากรณ์และหมอดูชื่อดัง “ซินแสเป็นหนึ่ง” และ “อาจารย์คฑา ชินบัญชร” พร้อมมินิคอนเสิร์ตสุดเอ็กซ์คลูซีฟจาก “ส้ม – มารี” และ “ว่าน – ธนกฤต” ในระหว่างวันที่ 20– 22 ตุลาคม 2566 ณ โซน CentralCourt ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์


โดยมียนตรกรรมที่นำมาจัดแสดงในงาน ได้แก่ EQE 350 4MATIC SUV AMG Line, GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic, C 220 d Avantgarde, E 300 e AMG Dynamic และ CLS 220 d AMG
AMG Dynamic, GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic, EQS 500 4MATIC AMG Premium, EQE 350 4MATIC SUV AMG Line และ Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+
*พิเศษ รับดอกเบี้ย 0% นาน 4 ปี สำหรับผู้ที่ซื้อรถยนต์รุ่น GLA 200 AMG Dynamic, E 300 e AMG
Dynamic, CLS 220 d AMG Premium และ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ ในงาน Mercedes-Benz StarFest 2023
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมรวมถึงข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ ได้ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ หรือที่เว็บไซต์ https://www.mercedes-benz.co.th และช่องทางโซเชียลมีเดียของ Publiเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกแพลตฟอร์ม

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

SUZUKI CELERIO ตัวแทนแห่งความคุ้มค่า !ฉลองยอดขายสะสมมากกว่า 25,000 คันจัดแคมเปญสวนกระแสเศรษฐกิจ

ผ่อนนาน 99 เดือน พร้อมส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท ลูกค้าข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ บุคลากรทางการแพทย์ เกษตรกรรับเพิ่ม 15,000 บาท

20 ตุลาคม 2566-กรุงเทพมหานคร-นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม
รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถยนต์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี มีการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดโดยเฉพาะในกลุ่มซีเซกเมนต์ขึ้นไป
รวมถึงการมีผู้ประกอบการในกลุ่มรถไฟฟ้ารายใหม่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดรถยนต์คึกคักและมีการแข่งขันสูงมากในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตามในภาพรวมของตลาด ผู้บริโภคชาวไทยยังคงมีความต้องการใช้งานรถยนต์ที่แตกต่างและกระจายไปในหลา
ยเซกเมนต์ เหนือสิ่งอื่นใดยังคงมองหารถยนต์คุณภาพดี ดูแลรักษาง่าย
และประหยัดพลังงาน เพื่อนำไปใช้งานได้อย่างคุ้มค่า คุ้มราคา ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้อย่างครบครัน สำหรับซูซูกิ แม้เราจะยังไม่ได้มีการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดในช่วงเวลานี้ แต่เราเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายไว้รองรับความต้องการของลูกค้าเกื
อบครบในทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ในกลุ่มประหยัดพลังงาน
นับว่ามีความโดดเด่นทั้งเรื่องของดีไซน์ สมรรถนะ และความคุ้มค่า
จนเป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่ลูกค้าให้การยอมรับเป็นอย่างดี
หนึ่งในผลิตภัณฑ์สำคัญที่ลูกค้ายังคงไว้วางใจและเลือกใช้งานนั่นก็คือ SUZUKI CELERIO รถยนต์นั่งขนาดคอมแพ็คคุณภาพเกินตัว
ที่สามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เปิดตัวทำตลาดในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2557 ด้วยประโยชน์ใช้สอยอันสูงสุด ทั้งสมรรถนะการขับขี่ที่ลงตัว มอบความคุ้มค่าในทุกด้าน ทั้งเรื่องของราคา คุณภาพตัวรถ ไปจนถึงเรื่องของการดูแลรักษาง่าย ซึ่งมีค่าใช้จ่ายไม่สูง
จึงส่งผลให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านได้รับความสนใจและสร้างยอดขายสะสมรวมจนถึงปัจจุบันถึง 25,111 คัน โดยในช่วงปี 2564 ซึ่ ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คือปีที่
SUZUKI CELERIO ได้รับความนิยมสูงสุด สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 4,651 คัน สำหรับปีนี้ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กันยายน 2566) SUZUKI CELERIO มียอดขายรวม 1,970 คัน โดยฐานลูกค้าในปัจจุบัน ไม่ได้จับอยู่แค่เพียงกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงานในช่วงเริ่มต้นชีวิตเท่านั้น
แต่ยังเป็นหนึ่งในรถทางเลือกของครอบครัวขนาดเล็ก ที่วางแผนการใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ มองหาความความปลอดภัยในการเดินทาง สมรรถนะการใช้งานที่ดีเกินราคา เน้นความคุ้มค่า ประหยัดพลังงาน ซึ่งล้วนแต่จุดเด่นสำคัญของผลิตภัณฑ์ซูซูกิ

นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากความโดดเด่นทุกด้านในสไตล์ซิตี้คาร์
ทำให้ครองใจคนใช้งานมาได้อย่างยาวนาน และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จที่เกิดขึ้น จึงอยากนำเสนอรถยนต์นั่งขนาดเล็กคุณภาพเกินตัวคันนี้ ให้แก่ผู้บริโภคที่มองหาความคุ้มค่า คุ้มราคา ด้วยการมอบแคมเปญพิเศษ “SUZUKI TRIPLE BONUS DEAL” สำหรับผู้ที่สนใจซื้อ SUZUKI CELERIO ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
ลูกค้าสามารถเลือกรับส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่ารวมสูงสุด 10,000 บาท สำหรับรุ่น GA, GL และ GX หรือ รับส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่ารวมสูงสุด 5,000 บาท สำหรับรุ่น GL UP อีกทั้งยังมอบข้อเสนอผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน พร้อมฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 3 ปี สำหรับลูกค้าข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ บุคลากรทางการแพทย์ หรือ เกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร จะได้รับส่วนลดพิเศษเพิ่ม 15,000 บาท อีกด้วย
SUZUKI CELERIO ตอบสนองการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มอบให้ทั้งประโยชน์ใช้สอยและความประหยัด ขนาดห้องโดยสารที่กว้างสบาย มีพื้นที่บริเวณเหนือศีรษะและพื้นที่วางขาสบายทั้งที่นั่งตอนหน้าและตอนหลัง พร้อมด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ จุสัมภาระได้มากเกินคาด นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ยังมั่นใจได้ในสมรรถนะด้วยเครื่องยนต์ K10B ขนาด 1.0 ลิตร ขนาดคอมแพ็คที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ มอบพละกำลังและความสามารถเกินตัว มีสมรรถนะการขับที่ดี ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รูปลักษณ์ภายนอกและภายในห้องโดยสารที่ได้รับการออกแบบให้ดูโดดเด่นสะดุดตา เสริมความอุ่นใจด้วยระบบและอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยมาตรฐานตอกย้ำภาพลักษณ์ ของซูซูกิเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตรถอีโคคาร์

SUZUKI CELERIO ตอบสนองการใช้งานด้วย 4 รุ่นทางเลือก คือ SUZUKI CELERIO GA/MT มาพร้อมราคาเริ่มต้นเพียง 338,000 บาท, SUZUKI CELERIO GL/CVT ราคาจำหน่าย 416,000 บาท, SUZUKI CELERIO GL UP ราคาจำหน่าย 423,000 บาท, และ SUZUKI CELERIO GX/CVT ราคาจำหน่าย 451,000 บาท
มาพร้อมสีภายนอกให้เลือกใช้ 4 สี ได้แก่ Ablaze Red Pearl, Mineral Gray Metallic, Super Black Pearl และ Pure White Pearl (สี Pure White Pearl เพิ่ม 3,000 บาท)
ทั้งนี้ ซูซูกิยังร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกด้านการอนุมัติสินเ ชื่อเพื่อลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ SUZUKI CELERIO ได้ง่ายยิ่งขึ้นภายใต้เงื่อนไขตามที่บริษัทฯ กำหนด
โดยลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ

ช่องทางการติดต่อ
http://www.suzuki.co.th
http://www.facebook.com/officialsuzukimotorthailand
SUZUKI Cause We Care: 1800-600-900


หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

ฟอร์ดชวนออกเดินทางไปกับฟอร์ด เรนเจอร์

ชู 6 ฟีเจอร์เด่นพร้อมลุยทุกสถานกาณ์

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 17 ตุลาคม 2566 – หลายๆ คนคงกำลังวางแผนออกไปสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวและเส้นทางท้าทายใหม่ๆ ในช่วงสิ้นปี ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางไหน หากคุณเดินทางไปกับฟอร์ด เรนเจอร์ ทุกเส้นทางการผจญภัยของคุณจะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย

แชสซีและช่วงล่างของฟอร์ด เรนเจอร์ได้รับการพัฒนาให้แกร่งยิ่งขึ้น ตลอดจนเทคโนโลยีช่วยขับขี่อันเหนือชั้น ทำให้บรรทุกสัมภาระได้ในปริมาณมากยิ่งขึ้นกับการเดินทางบนเส้นทางที่ท้าทาย ฟอร์ด เรนเจอร์ จึงเป็นรถที่สมบูรณ์แบบสำหรับการออกไปผจญภัยในช่วงสุดสัปดาห์ หรือการเดินทางนานหลายวันบนเส้นทางสมบุกสมบัน

“เจ้าของรถฟอร์ด เรนเจอร์ต้องการรถกระบะที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เต็มไปด้วยภารกิจมากมาย” ร็อบ ฮิวโก้ หัวหน้าฝ่ายประสบการณ์การขับขี่ฟอร์ด เรนเจอร์และฟอร์ด เอเวอเรสต์ ฟอร์ด ออสเตรเลีย กล่าว “ฟอร์ด เรนเจอร์ จะต้องบรรทุกสิ่งของไปได้ทุกที่ ทนทาน และพร้อมส่งมอบสมรรถนะที่เต็มเปี่ยมให้กับผู้ใช้งานได้อย่างยาวนาน แม้ในสภาวะการขับขี่สุดท้าทายบนหลากหลายเส้นทางในโลก เราตั้งใจพัฒนาฟอร์ด เรนเจอร์ขึ้นมาเพื่อให้รับมือกับสิ่งเหล่านี้”

ความสามารถของฟอร์ด เรนเจอร์ ที่จะช่วยเปลี่ยนทุกการเดินทางให้เป็นการผจญภัยสุดเร้าใจ ได้แก่

1.   พัฒนามาเพื่อให้บรรทุกสัมภาระได้มากขึ้น พร้อมลุยไปทุกที่

สิ่งที่ต้องมีในการเดินทางช่วงวันหยุดยาวและการท่องเที่ยวผจญภัยช่วงสุดสัปดาห์กับครอบครัวคือ พื้นที่บรรทุกสิ่งของที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการได้หลายรูปแบบ กระบะท้ายของฟอร์ด เรนเจอร์ กว้างขึ้น 50 มม. และมีพื้นที่จุของได้มากกว่า 1,200 ลิตร ทำให้บรรทุกอุปกรณ์ตั้งแคมป์และสัมภาระชิ้นใหญ่ได้ง่ายขึ้น พื้นปูกระบะของฟอร์ด เรนเจอร์สามารถกั้นแบ่งพื้นที่เพื่อจัดระเบียบสิ่งของได้ โดยทำที่กั้นแบ่งพื้นที่แบบ DIY ได้เองที่บ้าน และประกอบหรือถอดออกได้ตามต้องการ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่

2.       ขนของและขึ้นลงได้ง่ายด้วยบันไดเหยียบข้างกระบะท้าย

บันไดเหยียบข้างกระบะท้ายที่ติดตั้งมากับรถช่วยให้หยิบสิ่งของต่างๆ บริเวณท้ายกระบะได้อย่างแข็งแรงและมั่นคง โดยไม่ต้องปีนขึ้นบนล้อที่อาจเปื้อนโคลนและทำให้ลื่นไถล หรือปีนขึ้นจากฝาท้ายกระบะเพื่อหยิบของ

3.      บรรทุกสัมภาระได้อย่างปลอดภัย

ฟอร์ด เรนเจอร์ มีห่วงยึดสัมภาระกระบะท้ายติดตั้งมาจากโรงงาน และยังมีราวพร้อมหมุดยึดแบบสปริงสำหรับเลือกใช้งานเพื่อรัดสัมภาระให้แน่นหนา โดยรุ่นไวลด์แทรค มาพร้อมราวอลูมิเนียมเสริมอีกหนึ่งคู่เพื่อช่วยให้บรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่ได้รัดกุมยิ่งขึ้น

4.       คิดนอกกรอบ

ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่นสตอร์มแทรค มีราวหลังคาและสปอร์ตบาร์แบบปรับได้ (Flexible Rack System) กับ  จุดล็อคสปอร์ตบาร์ 5 ตำแหน่งตามแนวขอบกระบะ และเมื่อใช้ร่วมกับราวหลังคาจะทำให้สามารถบรรทุกสัมภาระที่มีลักษณะยาวได้อย่างง่ายดาย สำหรับรุ่นที่ไม่มีราวหลังคาและสปอร์ตบาร์แบบปรับได้ สามารถติดตั้งจุดยึดแร็คหลังคาเพื่อช่วยให้ติดตั้งอุปกรณ์เสริมบนหลังคาได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแร็คหลังคา หรือถาดวางสัมภาระ โดยหลังคาของฟอร์ด เรนเจอร์ รองรับน้ำหนักได้สูงสุด 350 กก. (ขณะจอด) และ 85 กก. (ขณะขับขี่)1

5.         ปลดล็อกสมรรถนะผจญภัยด้วยโหมดการขับขี่และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

ถึงแม้ว่าการเลือกสถานที่ตั้งแคมป์อาจเป็นเรื่องยาก แต่แต่การขับรถไปที่จุดตั้งแคมป์จะเป็นเรื่องง่าย ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อและโหมดการขับขี่ต่างๆ ของฟอร์ด เรนเจอร์ที่ ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้การขับขี่สะดวกสบายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไปพร้อมๆ กับช่วยอำนวยความสะดวกแม้ต้องเจอกับสภาพเส้นทางที่ยากลำบาก2

โหมดการขับขี่ปกติ (Normal) และโหมดประหยัด (Eco) ส่งพละกำลังและประสิทธิภาพที่เหมาะกับการขับขี่บนถนนในชีวิตประจำวัน ในขณะที่โหมดถนนลื่น (Slippery) และโหมดโคลน (Mud/Ruts) มีไว้สำหรับใช้งานเมื่อไม่ได้ขับขี่บนถนนที่ลาดยางแบบปกติหรือเมื่อต้องเริ่มขับขี่บนเส้นทางแบบผจญภัย โหมดลากจูงและบรรทุก (Tow/Haul) ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับการลากจูงวัตถุที่มีน้ำหนักมาก โดยช่วยปรับอัตราทดเกียร์ให้เหมาะสม เพื่อการส่งกำลังและการหน่วงกำลังของเครื่องยนต์บนสภาพทางที่ลาดชัน พร้อมเพิ่มน้ำหนักพวงมาลัยเพื่อการควบคุมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

โหมดการขับขี่ของเรนเจอร์ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือการเปลี่ยนเกียร์แบบ shift-on-the-fly แบบพาร์ทไทม์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อขั้นสูงของฟอร์ดเป็นระบบอัตโนมัติที่ปรับเปลี่ยนได้เอง3 ที่สามารถเลือกตั้งค่าสูงสุด 4 แบบ ได้แก่ 2H, 4H และ 4L รวมถึง 4A บนฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เมื่อตั้งค่าเป็นโหมด 4A ระบบจะทำงานอย่างเต็มที่และตรวจสอบสภาวะการยึดเกาะถนนอย่างต่อเนื่อง โดยระบบจะกระจายแรงบิดตามสัดส่วนไปที่ล้อหน้าตามความจำเป็นในสภาวะการขับขี่ นอกจากนี้  ยังเป็นหนึ่งในโหมดเริ่มต้นสำหรับการใช้งานโหมดควบคุมการขับขี่ (Selectable Drive Modes) ที่จะปรับเปลี่ยนไปตามการเลือกโหมดการขับขี่แต่ละโหมดอีกด้วย

6.       ควบคุมการขับขี่แบบออฟโรดได้อย่างเต็มรูปแบบ

เมื่อกดปุ่มออฟโรดบนคอนโซลกลาง ข้อมูลจะแสดงขึ้นมาบนหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ โดยหน้าจอนี้จะแสดงการตั้งค่าสถานะการขับขี่ และองศาการเอียงของตัวรถ นอกจากนี้ยังสามารถดูภาพจากกล้องมองรอบคัน 360 องศา ที่รวมไปถึงมุมกล้องหน้าที่ช่วยให้เห็นทัศนวิสัยบริเวณล้อหน้าได้อีกด้วย3

หมวดหมู่
Car Review News

ปลายฝนต้นหนาว เที่ยวกับเทอ (ร่า)

กางเต็นท์ดูดาวกลางทุ่งหญ้าสะวันนาเมืองไทย เซลฟี่ที่ทุ่งกังหันลม

ใกล้จะปลายฝนต้นหนาวแล้ว หลายๆ บ้านคงกำลังมองหาทริปพิเศษสำหรับครอบครัว ทั้งช่วงปิดเทอมในเดือนตุลาคมนี้ และเตรียมเที่ยวช่วงวันหยุดปลายปี  นิสสัน เทอร์ร่า สปอร์ต รถยนต์ PPV สำหรับครอบครัว มีเส้นทางสวยๆ สำหรับคนรักธรรมชาติมาแนะนำ เหมาะทั้งสำหรับครอบครัวขาลุยจะนอนกางเต็นท์ เดินชมทุ่งหญ้าสะวันนาของไทยแบบชิลๆ แวะเซลฟี่กับทุ่งกังหันลมสวยๆ ได้ที่เขาค้อนี่เอง

จังหวัดเพชบูรณ์ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในจังหวัดที่สวยงาม มีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สมบูรณ์ ระยะทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เกินไปนัก ประมาณ 400 กิโลเมตรกว่าๆ เท่านั้น สามารถใช้เวลาวันเสาร์-อาทิตย์ 2 วัน 1 คืน ก็ได้พักผ่อนกับครอบครัวเต็มที่  ขับเรื่อยๆ แวะพักจิบกาแฟในคาเฟ่เก๋ๆ สักแห่ง แวะกินอาหารกลางวันอีกมื้อ ผู้ใหญ่ยังไม่ทันเมื่อย เด็กๆ ยังไม่ทันเบื่อก็ถึงแล้ว เส้นทางกว่า 60% เป็นไฮเวย์ ถนนดีขับสบายๆ ออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสระบุรี หล่มสัก ถนนเรียบตรงตลอด วิ่งตรงไปจนเลยลพบุรีเข้าเพชรบูรณ์ จึงมีทางขึ้นเขา ทางโค้งให้ได้เปลี่ยนบรรยากาศกันเล็กน้อย และวิวข้างทางก็เปลี่ยนจากที่ราบเป็นเริ่มมีต้นไม้มีเขาให้ได้เห็นกัน

ด้วยเส้นทางที่ค่อนข้างราบเรียบ ทำให้การเดินทางสะดวกสบายมาก โดยเฉพาะภายในห้องโดยสารของนิสสัน เทอร์ร่า สปอร์ต ที่กว้างขวาง ที่นั่งแถว 2 และ 3 ยกระดับขึ้นเหมือนในโรงภาพยนตร์ ทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นภายนอกรถ ชมวิวกันได้จุใจ ไม่เมารถ  สามารถเข้าออกที่นั่งแถวที่ 3 ได้ง่าย โดยกดปุ่มพับเบาะที่คอนโซล ก็สามารถพับเบาะได้ทันทีโดยที่คนขับไม่ต้องลงมาเปิดและปรับเบาะให้  นอกจากนี้พื้นที่ในห้องโดยสารยังกว้างขวางนั่งสบาย  กระจกด้านหน้าและด้านข้างแบบพิเศษกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดี ห้องโดยสารจึงเงียบ ให้ทุกคนได้พูดคุยกันเต็มที่ จะเปิดเพลงฟังก็สบายหูกับเครื่องเสียง BOSE พร้อมลำโพง 8 ตัว หรือคุณพ่อคุณแม่สามารถเปิดภาพยนตร์ให้เด็กๆ ที่นั่งในแถว 2-3 ชมได้บนหน้าจอขนาด 11 นิ้วด้านหลัง ผ่านระบบสตรีมมิ่งช่องโปรด เช่น Netflix และ YouTube ผ่านช่อง HDMI ได้อย่างง่ายดาย ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อ

ออกกจากรุงเทพฯสายๆ เพียงช่วงบ่ายๆ ก็จะมาถึงทุ่งแสลงหลวง หนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่มีทิวทัศน์สวยงาม ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในจังหวัดเพชรบูรณ์และพิษณุโลก ช่วงเดือนตุลาคม-มกราคมซึ่งเป็นฤดูหนาว เป็นช่วงที่สวยที่สุด เพราะป่าไม้ที่เพิ่งผ่านฝนมาจะเขียวชอุ่ม ตอนเช้ามีหมอกเรี่ยยอดไม้ อุณหภูมิค่อนข้างเย็น ใส่สเวตเตอร์บางๆ พอให้ความอบอุ่นๆ สวยๆ สักตัวก็น่าจะพอ

พื้นที่ทุ่งแสลงหลวงมีป่าไม้หลายชนิดทั้งป่าสน ป่าเต็งรัง ป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดคือ ทุ่งหญ้าสะวันนา ที่หลายคนเคยได้ยินชื่อตอนเรียนวิชาภูมิศาสตร์ ได้มาเห็นจริงที่นี่เอง ลักษณะเป็นทุ่งหญ้ากว้างโล่ง มีต้นไม้ต้นตรงสูงเป็นป่าโปร่งๆ  เหมาะสำหรับกิจกรรมเบาๆ เช่น เดินชมป่า ถ้าโชคดี อาจจะได้เห็นสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยออกมาโชว์ตัว ไม่ว่าจะเป็นกระรอก กระต่าย กวาง นกนานาชนิด ผีเสื้อหลากสี มีเส้นทางปั่นจักรยานพอได้เหงื่อ

ทางอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงได้จัดพื้นที่ไว้สำหรับครอบครัวขาลุยมากางเต็นท์ให้ได้อาบไอป่า ชมดาวยามค่ำ และตื่นมาชมไอหมอกยามเช้าที่ลอยเรี่ยเหนือพื้นดินและยอดเขาสวยงามมากๆ  ซึ่งสามารถเช่าเต๊นท์ของอุทยานหรือนำมาเองได้ นิสสัน เทอร์ร่า สปอร์ต มีพื้นที่จุของเยอะ สามารถแพ็คอุปกรณ์เดินป่าหรือเต๊นท์สำหรับครอบครัวไปด้วยได้สบายๆ ซึ่งแม้ว่าจะขนของเยอะจนแน่นท้ายรถ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะบดบังทัศนวิสัย เพราะกระจกมองหลังอัจฉริยะที่ปรับเป็นกล้องมองหลังได้ทันที ช่วยให้มองเห็นรอบคันรถได้ชัดเจนและปลอดภัย  ถ้าไม่กางเต็นท์ ก็มีบ้านพัก และมีโรงแรมรีสอร์ทในบริเวณใกล้เคียงให้เลือกพักกันได้ตามอัธยาศัยเช่นกัน

หลังจากใช้เวลากับธรรมชาติเต็มที่ ขากลับ ยังมีที่ให้แวะถ่ายรูปสวยๆ เช่น ทุ่งกังหันลม ไม่ต้องไปไกลถึงต่างประเทศ ก็ถ่ายกับกังหันลมที่เขาค้อได้  กังหันลมสีขาวต้นใหญ่มหึมาสูง 100 เมตร ใบพัดยาว 60 เมตรยืนเรียงรายกันเป็นแบ็คกราวด์ที่ดูสวย ทันสมัย ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าแจ่ม จะเซลฟี่ จะถ่ายรูปครอบครัวก็สวยทั้งนั้น ถ้าไปในช่วงเดือนตุลาคม พฤศจิกายน แถวนี้จะมีสตรอเบอรี่ให้ได้ชิมกันด้วย เรียกว่าฟินทั้งตา ฟินทั้งปาก

ถ้าครอบครัวไหนสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ จะแวะที่เมืองโบราณศรีเทพด้วยก็ได้  แต่นักท่องเที่ยวจะเริ่มมากหลังจากได้รับการประกาศจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกแห่งใหม่  การท่องเที่ยวในโบราณสถานจะทำให้เด็กๆ ได้ตื่นตาตื่นใจกับสถานที่จริง ประทับใจกับการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์สมัยทวาราวดี ได้เห็นและจินตนาการถึงความรุ่งเรืองของมนุษย์เมื่อ 1,000 ปีที่แล้ว ซึ่งจะประทับในความทรงจำของเด็กๆ ไปอีกนาน

การเดินทางกับนิสสัน เทอร์ร่า สปอร์ต รถ PPV คันเก่งของครอบครัว อุ่นใจกับระบบความปลอดภัยรอบคัน 360 องศา และให้ทั้งสมรรถนะเยี่ยมกับเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบที่ให้กำลังแรงต่อเนื่อง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่สามารถกดปุ่มที่คอนโซลกลางเพื่อเปลี่ยนจากระบบขับเคลื่อนแบบสองล้อไปเป็นสี่ล้อทั้ง 4H และ 4L สำหรับการขับขี่บนถนนลื่น เป็นหลุมโคลน ทำให้พร้อมลุยทุกเส้นทางไม่ว่าจะลุยน้ำลุยโคลนเข้าป่า หรือขับขี่ชิลๆบนไฮเวย์ก็ตาม

นอกจากนี้ นิสสัน เทอร์ร่า สปอร์ต ยังเสริมลุคสปอร์ตสุดเท่ ด้วยอุปกรณ์ตกแต่งสีดำรอบคัน เช่น กระจังหน้า ชุดแต่งกันชนหน้าและกันชนหลัง แผงกันกระแทก กระจกมองข้าง คิ้วแต่งซุ้มล้อและบันไดข้าง  ให้อารมณ์ลุยๆ สปอร์ต  เพิ่มความเท่สไตล์เฉี่ยวกับ Quad LED 4 ดวง ที่ให้ประสิทธิภาพสูง และสว่างมากขึ้นถึง 34%  มองเห็นได้ชัดและไกลมากขึ้น เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ยามค่ำคืน

ทริปสั้นๆ  2 วัน 1 คืน กับเทอร์ร่า สปอร์ต ในเส้นทางทุ่งหญ้าสะวันนาและทุ่งกังหันลมเมืองไทย ถือเป็นทริปสั้นๆ ที่ให้ทุกคนได้ใกล้ชิดธรรมชาติ  ผ่อนคลายกันได้เต็มที่ เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่นิสสัน เทอร์ร่า แนะนำเลย

หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

เอ็มจี จัดกิจกรรม “MG4 Track Experience”

เสริมความปลอดภัย และประสบการณ์เร้าใจ ในการขับขี่

กรุงเทพฯ – 11 ตุลาคม 2566 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย จัดกิจกรรม “MG4 Track Experience” ชวนลูกค้าเปิดประสบการณ์ครั้งใหม่ กับสมรรถนะเต็มประสิทธิภาพของ NEW MG4 ELECTRIC พร้อมเรียนรู้เทคนิคการควบคุมรถในสถานการณ์ฉุกเฉิน และเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ติดตั้งมาในรถ จากผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ ณ สนามโกคาร์ต IMPACT Speed Park เมื่อเร็วๆ นี้

MG4 Track Experience ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ของ เอ็มจี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสะท้อนความแข็งแกร่งของ MG EV Community ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงสมรรถนะของ NEW MG4 ELECTRIC  ในสนามโกคาร์ต พร้อมเปิดประสบการณ์การเรียนรู้เทคนิคการขับที่สนุกสนาน ควบคู่ไปกับการเสริมทักษะการขับอย่างปลอดภัยในสถานการณ์ต่างๆ จากผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพแบบเอ็กซ์คลูซีฟ โดย เอ็มจี ได้เนรมิตสนาม IMPACT Speed Park เพื่อจำลองสถานการณ์การขับขี่ในหลากหลายรูปแบบ เสริมสร้างประสบการณ์การควบคุมตัวรถให้ดียิ่งขึ้นและปิดท้ายด้วยการมอบประกาศนียบัตรรับรองการขับขี่ให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม

เปิดประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจครั้งแรกของคุณสิริวัฒน์ อุลิศนันท์

NEW MG4 ELECTRIC เป็นมากกว่ารถไฟฟ้าทั่วไป ส่วนตัวชอบที่จุดเด่นทั้งในด้านสมรรถนะและระบบความปลอดภัยที่ครอบคลุมสำหรับการขับขี่ กิจกรรมครั้งนี้เป็นกิจกรรมที่ช่วยเติมความรู้ให้กับผู้หญิงที่ขับรถอีวี ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ในการขับขี่ที่ทั้งสนุกสนานและเร้าใจ และยังได้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ นับเป็นความประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าในครั้งหน้าหน้าเอ็มจีจัดกิจกรรม จะไม่พลาดโอกาสดีๆ แบบนี้แน่นอน”

คุณธนโชติ ธรรมชาติ กับครั้งแรกที่พารถคันโปรดลงสนามจริง

“ด้วยดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยวของรถNEW MG4 ELECTRIC ที่มาพร้อมกับสมรรถนะที่ดี กับจุดเด่นของรถที่มีระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ฐานล้อกว้าง ทำให้เกาะถนนได้ดี เข้าโค้งได้อย่างเฉียบคม ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ แบบ 5-LINK SUSPENSION ถือเป็นอีวีที่ขับสนุกและเร้าใจ มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยที่ครอบคลุมสำหรับการขับขี่ กิจกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เอารถคันโปรดจากที่ใช้ขับบนท้องถนนมารีดสมรรถนะแบบเต็มๆ บนสนาม ถือเป็นการเพิ่มประสบการณ์การขับขี่และการใช้รถคันนี้ให้ได้ดียิ่งขึ้น”

การทดลองขับที่ได้รับประสบการณ์ครั้งใหม่ในมุมมองของคุณจตุพร เก่งรักษา

NEW MG4 ELECTRIC ไม่ได้มีดีแค่ดีไซน์ แต่มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว กิจกรรมในครั้งนี้มอบประสบการณ์การขับขี่ในแบบที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ชอบที่ได้ลงสนามจริงกับผู้เชี่ยวชาญผ่านกิจกรรม Hot lap ทำให้ได้รู้ถึงความเฉียบคม และความคล่องตัวของ NEW MG4 ELECTRIC รวมถึงการสอนขับขี่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการใช้งานรถในชีวิตประจำวัน โดยรวมประทับใจในกิจกรรมครั้งนี้ เพราะครบทุกมิติของการใช้รถจริงๆ”

จากคุณพ่อที่ขับขี่ส่งลูกไปโรงเรียนสู่การทดลองขับแบบลงสนามจริงของคุณอภิภู แก้วสีนวล

“กิจกรรมครั้งนี้ทำให้รู้วิธีการขับขี่ NEW MG4 ELECTRIC ได้ดีและมั่นใจมากยิ่งขึ้นถือเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากสนามทดสอบ เพื่อเอาไปปรับใช้บนถนนชอบในความเป็นกันเองและความตั้งใจในการถ่ายทอดความรู้ของ Instructors ที่มีความเชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ ที่แนะนำวิธีปฏิบัติและแนวทางที่จะทำให้เราสามารถใช้รถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”

NEW MG 4 ELECTRIC เป็นรถไฟฟ้าที่ได้รับกระแสตอบรับและการการันตีด้วยรางวัลในระดับสากล อาทิ รางวัล EV OF THE YEAR AM AWARDS รางวัล UK CAR OF THE YEAR 2023 ได้รับการคัดเลือกเป็นรถที่โดดเด่นที่สุดใน Compact Segment จาก GERMAN CAR OF THE YEAR 2024 รางวัล BEST FAMILY CAR จาก UKCOTY และรางวัลจากสื่อชั้นนำทั่วโลก ทั้งยังได้รับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก EURO NCAP โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะด้วยการเป็นรถอีวีที่ขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง ตัวรถกระจายน้ำหนักแบบสมมาตร 50:50 มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ฐานล้อกว้าง ทำให้เกาะถนนได้ดี เข้าโค้งได้อย่างเฉียบคม อัตราการเร่ง เร็วทันใจ ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ แบบ 5-LINK SUSPENSION ถือเป็นอีวีที่ขับสนุกและเร้าใจ มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยมากถึง 26 ระบบ โดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยว และเป็นรถที่พัฒนาขึ้นบน NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ออกแบบเพื่อรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่จะตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว

ผู้สนใจสามารถเป็นเจ้าของและทดลองขับ NEW MG4 ELECTRIC ได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการคุณภาพเอ็มจีทั่วประเทศ พร้อมรับข้อเสนอพิเศษไม่ต้องรอถึงช่วงสิ้นปี กับราคาเริ่มต้นเพียง 769,000 บาท เท่านั้น  

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MG CALL CENTRE โทร. 1267 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม    ของเอ็มจีได้ที่

Website: www.mgcars.com

Line: @MGThailand

Facebook: www.facebook.com/MGcarsThailand

Twitter: @mg_thailand

Instagram: @mgthailand

Youtube: MG Thailand

TikTok: @mgthailand

Application: MG Thailand

###

Hashtag #NEWMG4ELECTRIC #MGThailand #MGCarsTH #PassionDrives #MG4TrackExperience

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

ฟอร์ดชวนออกไปสัมผัสธรรมชาติกับฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 10 ตุลาคม 2566 – ฟอร์ด ประเทศไทย แชร์เคล็ดลับการเดินทางเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวท่ามกลางธรรมชาติช่วงฤดูฝนอย่างปลอดภัยกับฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ รถยนต์นั่งอเนกประสงค์ที่พร้อมสร้างความทรงจำแห่งการเดินทางที่น่าประทับใจในทุกเส้นทาง

ผลสำรวจการคาดการณ์เทรนด์การท่องเที่ยวปี 2566 โดย Booking.com[1] พบว่า ผู้คนจำนวนมากกำลังมองหาการพักผ่อนแบบตัดขาดจากโลกภายนอก (Off-Grid) เช่น การออกไปแคมปิ้งตามแหล่งธรรมชาติ แน่นอนว่าการผจญภัยที่  รายล้อมด้วยธรรมชาติเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและท้าทาย แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการคำนึงถึงความปลอดภัยในการเดินทาง ฟอร์ดจึงขอนำเสนอเคล็ดลับการออกไปเดินทางตั้งแคมป์ท่ามกลางธรรมชาติกับฟอร์ด เอเวอเรสต์ รถยนต์นั่งอเนกประสงค์ที่มาพร้อมสมรถถนะอันเหนือชั้น เพื่อพิชิตทุกเส้นทางท้าทายช่วยให้  ทริปชมธรรมชาติสุดชิลล์ประทับใจและปลอดภัยตลอดการเดินทาง

วางแผนเส้นทางและเตรียมความพร้อม

ลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ เพียงแค่รู้จักวางแผนการเดินทางอย่างละเอียด ควรศึกษา และเลือกใช้เส้นทางการขับขี่ที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางที่ชำรุด หรืออยู่ระหว่างการซ่อมแซม ควรจัดเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินไว้ในรถ เช่น เชือกสำหรับลากจูง ชุดอุปกรณ์เปลี่ยนยางอะไหล่ เครื่องปั๊มลมแบบพกพา ไฟฉาย หมายเลขติดต่อฉุกเฉินเผื่อเหตุจำเป็น และอย่าลืมตรวจสอบรถให้พร้อมใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น เติมน้ำมันเต็มถังก่อนออกเดินทาง เช็คเครื่องยนต์ ระบบเบรกสภาพยางรถยนต์ ตรวจสอบการทำงานของระบบสัญญาณไฟ เป็นต้น

เจ้าของรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ยังสามารถตรวจสอบสถานะรถยนต์ได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน FordPass เพื่อตรวจเช็คแรงดันลมยาง ระดับน้ำยาฉีดล้างกระจก และอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมทั้งเพิ่มความอุ่นใจในการเดินทางอีกขั้นกับโปรแกรมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ฟรีตลอด 3 ปีแรก สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ทุกคัน โดยพร้อมให้คำปรึกษาทางเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมงในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉิน และยังมีบริการยกและลากรถฟรีหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิด

ทำความคุ้นเคยและเรียนรู้ฟีเจอร์ของรถ

ความกังวลต่างๆ จะหมดไป หากสามารถใช้ฟีเจอร์และฟังก์ชันต่างๆ ในรถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ กล้าเผชิญทุกความท้าทายด้วยโหมดการขับขี่ที่คุณสามารถเลือกได้ทั้งทางเรียบและออฟโรด ถึง 6 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ (Normal) โหมดประหยัด (Eco) โหมดลากจูง (Tow/Haul) โหมดทางลื่น (Slippery) โหมดโคลน (Mud/Ruts) และโหมดทราย (Sand) เพื่อปรับสมรรถนะการขับขี่ให้เหมาะกับสภาพเส้นทางและพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ ยังพร้อมลุยทุกสถานการณ์ ด้วยความสามารถลุยน้ำได้สูงสุด 800 มม.

แม้ว่าจะอยู่ระหว่างทริปท่องเที่ยวกลางธรรมชาติ แต่แหล่งไฟฟ้าและสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้อย่างไม่มีสะดุด รถฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ มาพร้อมแท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย ทั้งยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ด้วยช่องต่อ USB บริเวณคอนโซลหน้าและที่นั่งผู้โดยสารด้านหลัง เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้นด้วยช่องจ่ายไฟกระแสสลับ 400 วัตต์บริเวณหลังคอนโซลกลางที่นั่งแถวที่สอง และช่องจ่ายไฟขนาด 12V ที่โซนเก็บสัมภาระท้ายรถ

สะดวกสบายอีกขั้นกับประตูท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติ ที่ให้คุณเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ปิกนิกจากรถได้โดยไม่ต้องใช้มือ เพียงแค่เตะขาบริเวณเซ็นเซอร์ท้ายรถ ประตูท้ายก็จะเปิดออกอย่างง่ายดาย สำหรับใครที่ตั้งใจไปนอนดูดาวแบบใกล้ชิดธรรมชาติสุดๆ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ยังมีหลังคาพาโนรามิคมูนรูฟ (Panoramic Moonroof) แบบปรับไฟฟ้าอีกด้วย

เตรียมอุปกรณ์และร่างกายให้พร้อม ที่สำคัญคือต้องขับรถอย่างระมัดระวังและมีสติอยู่เสมอ

จัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการปิกนิกให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็น ผ้าปู อาหาร เครื่องดื่ม ขนมทานเล่น เก้าอี้สนาม โต๊ะปิกนิก และอุปกรณ์สำหรับกันแดดกันฝน หากใครเป็นสายคอนเทนต์ อย่าลืมเตรียมพร็อพถ่ายรูปไว้เช็คอินที่เที่ยวกันได้เลย

ก่อนเดินทาง แนะนำให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ งดเว้นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด เพราะทำให้ประสิทธิภาพในการขับรถลดลง และไม่ควรรับประทานยาที่มีฤทธิ์กดประสาท อาทิ ยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก เนื่องจากอาจทำให้ง่วงนอนได้

ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ เหล่านี้ คุณก็พร้อมออกเดินทางไปท่องเที่ยวท่ามกลางธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย พร้อมลุยทุกทริปไปกับรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ รถยนต์นั่งอเนกประสงค์ที่ผสานสุดยอดสมรรถนะการขับขี่และเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อความสะดวกปลอดภัยครบครัน สนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ ทุกรุ่นได้ที่เว็บไซต์ www.ford.co.th

หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

‘LAST CHANCE’ รับข้อเสนอพิเศษต่อเนื่อง BMW XPO ฟรีดาวน์ดอกเบี้ย 0% พร้อม Gift Voucher ห้างสรรพสินค้าชั้นนำมูลค่าสูงสุด 60,000 บาท 22-24 ก.ย.นี้ ที่โชว์รูม มิลเลนเนียมออโต้ พระราม 4

บริษัท มิลเลนเนียม ออโต๊ กรุ๊ป จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู อย่างเป็นทางการ ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรมสุดคุ้มค่า
‘LAST CHANCE’ โอกาสสุดท้ายสำหรับผู้ชื่นชอบยนตรกรรม บีเอ็มดับเบิลยู รับข้อเสนอพิเศษต่อเนื่อง BMW XPO พร้อม Gift Voucher ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ มูลค่าสูงสุด 60,000 บาท ร่วมสนุกกับ Lucky Wheel เพื่อลุ้นรับผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ บีเอ็มดับเบิลยู ผสานฟู้ดทรัคร้านดังและดนตรีสด ร่วมสร้างสีสันภายในงาน ระหว่างวันที่ 22-24 กันยายน 2566 ณ โชว์รูม มิลเลนเนียม ออโต้ พระราม 4 หรือรับข้อเสนอพิเศษ ได้ที่โชว์รูม มิลเลนเนียม ออโต้ ทุกสาขา ทั้งในกรุงเทพฯ คือ ลาดพร้าว, พระรามที่ 3, พัฒนาการ-ศรีนครินทร์ สยามพารากอน และไอคอนสยาม รวมถึงสาขาต่างจังหวัดคือ อุบลราชธานี, ภูเก็ต หาดใหญ่ และสุราษฎร์ธานี

สมปราชญ์ โบสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายขายและการตลาด บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “กิจกรรมนี้ถูกจัดขึ้น แทนคำขอบคุณลูกค้า มิลเลนเนียม ออโต้ฯ ที่ได้มอบความไว้วางใจให้เราดูแล พร้อมหยิบยื่นที่สุดแห่งความคุ้มค่า ด้วยข้อเสนอพิเศษต่อเนื่อง
BMW XPO และยังมีความสนุกอีกมากมาย รอทุกท่านอยู่ภายในงานครับ”
++รับข้อเสนอพิเศษต่อเนื่อง BMW XPO พร้อม Gift Voucher มูลค่าสูงสุด 60,000 บาท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป มอบความคุ้มค่าสูงสุดให้กับลูกค้า ด้วยข้อเสนอพิเศษต่อเนื่อง BMW XPO เมื่อจองรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู กับ มิลเลนเนียม ออโต้ฯ และรับรถภายในเวลา
ที่กำหนด
 ดาวน์ 0%*
 ดอกเบี้ยพิเศษ 0% นานสูงสุด 5 ปี*
 ประกันภัยชั้นหนึ่ง นานสูงสุด 3 ปี*
 Wall Box (สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์ไฟฟ้า)*
 Exclusive Dining Voucher at Ms. Jigger, Kimpton Ma-Lai Bangkok มูลค่าสูงสุด
12,000 บาท*
 บัตรรับประทานอาหารมูลค่า 5,000 บาท ที่ The Standard, Mahanakhon*
รับสิทธิ์พิเศษเหนือระดับ สำหรับลูกค้า มิลเลนเนียม ออโต้ฯ
 เพิ่มมูลค่ารถเทรด-อิน สูงสุด 100,000 บาท*
 Gift Voucher ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ มูลค่าสูงสุด 60,000 บาท*
โอกาสครั้งสำคัญมาถึงแล้ว กับงาน ‘LAST CHANCE’ ที่ต้องบอกว่าอย่ารอช้า เพราะรถยนต์
บางรุ่นมีจำนวนจำกัด ขอสงวนสิทธิ์ First Come First Serve แล้วพบกันระหว่างวันที่ 22-24
กันยายน 2566 ณ โชว์รูม มิลเลนเนียม ออโต้ พระราม 4 หรือรับข้อเสนอพิเศษ ได้ที่โชว์รูม
มิลเลนเนียม ออโต้ ทุกสาขา

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
สอบถามข้อมูล โทร.1286 Millennium Auto Connect
Line: https://bit.ly/2Z3ou46 (@millenniumauto)
https://www.millenniumauto.co.th

หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

“SUZUKI CARRY PICKUP” เพือทุกธุรกิจที่มีความฝันขยายแคมเปญ CARRY YOUR DREAMผ่อนนาน 84 เดือน เริ่มต้นวันละ 222 บาทลุยมุ่งสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคมจับมือ กทม.และ พันธมิตรสร้างฝันเพื่อคนไร้บ้าน

18 กันยายน 2566-กรุงเทพมหานคร-นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศ ไทย) จำกัด กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศไทยเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้บริโภคกล้าจับจ่ายใช้สอยและ ลงทุนในธุรกิจ โดยเฉพาะตลาดรถเพื่อการพานิชย์มีตัวเลขยอดขาย 8 เดือนที่ผ่านมา มีตัวเลขอยู่ที่ 191,265 คัน ซึ่งในส่วนนี้แสดง ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่ากลุ่มธุรกิจเพื่อการขนส่ง ภาคการเกษตร หรือกํารค้าขายในกลุ่มธุรกิจขนาดย่อม หรือ SME มีกํารขยับตัว เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจมากยิ่งขึ้น สำหรับ SUZUKI CARRY PICK UP รถกระบะเพื่อการพาณิชย์อเนกประสงค์ คือ หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีแนวโน้มกํารเติบโตที่ดี สอดคล้องไปกับทิศทางของตลาด ล่าสุดจากการเข้าร่วมงาน Big MOTOR SALE 2023 ด้วยการนำมาดัดแปลงภายใต้แนวคิด Laundry Carry เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจซัก อบ รีด ภายใต้แนวคิด CARRY YOUR DREAM พร้อมด้วยการมอบข้อเสนอพิเศษภายในงําน ก็ได้การตอบรับจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดย่อม หรือ SME เป็นอย่างดี จนสร้างยอดขายรวม
ในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2566 มียอดขายรวมทั้งสิ้น 1,790 คัน และผลักดันให้มียอดขายรวมนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2549


จนถึง ณ ปัจจุบัน มียอดขายรวมในประเทศไทยไปแล้ววกว่า 60,393 คัน
โดยเพื่อเป็นการตอกย้ำความนิยม และความสำคัญของ SUZUKI CARRY ในการส่งเสริมกํารดำเนินธุรกิจขนาดย่อมที่กำลังเติบโต
ของตลาดในประเทศไทย โดยเฉพาะธุรกิจ SME ในรูปแบบแฟรนไชส์ ที่มีกํารขยายตลาดและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอนาคตอัน
ใกล้ เรากำลังจะมีโครงการที่สนับสนุนผู้ประกอบการ เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยไทย ได้มีโอกําสสร้ํางความมั่นคงทางอาชีพด้วย
กํารผลักดันความฝันของตัวเองให้เป็นจริง ซูซูกิจึงได้ ขยํายแคมเปญพิเศษ สำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของกระบะบรรทุก
อเนกประสงค์ขนาดเล็กรุ่นนี้ ในราคําเพียง 395,000 บาท พร้อมด้วยข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นเพียงวันละ 222 บําท ระยะยาวถึง 84 เดือน
หรือเลือกรับข้อเสนอดอกเบี้ยพิเศษ 1.89% พร้อมฟรีประกันชั้น 1 ในปีแรก ซึ่งข้อเสนอพิเศษดังกล่าวจะเป็นการคิดรวมกับอุปกรณ์
ตกแต่งรถเรียบร้อยแล้ว (ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯที่กำหนด)
อย่างไรก็ตาม SUZUKI CARRY นอกจากจะมีส่วนสำคัญในการสร้างงานสร้าอาชีพภายใต้แนวคิด “เคียงข้างทุกเส้นทํางฝัน”
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมายังได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนสังคมผ่านโครงกําร ‘SUZUKI Cause We Care – เหนือกว่ํา
ความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ’ ด้วยการนำเสนอแคมเปญเพื่อสังคมที่หลากหลาย

หนึ่งในแคมเปญสำคัญและได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกลุ่มผู้ประกอบการและผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิในพื้นที่ คือ CARRY
YOUR DREAM CARRY YOUR LIFE ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ด้วยการดัดแปลง SUZUKI CARRY ให้กลํายเป็นร้านตัด
ผมเคลื่อนที่ เพื่อนำไปร่วมกิจกรรม CSR SUZUKI CARRY Barber Truck ให้บริการตัดผมแก่ผู้ด้อยโอกาสทางสังคมยังสถานที่
ต่างๆ ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศไทย ล่าสุด ยังได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยพันธมิตรเช่น มูลนิธิกระจกเงา, Otteri, บุญถาวร และ We Chef ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรม “เปิดตัวห้องน้ำสำหรับคนไร้บ้าน” โดยถือโอกาสนำรถขนส่งความสุข SUZUKI CARRY ที่ดัดแปลงเป็น SUZUKI CARRY BARBER TRUCK รถตัดผมเคลื่อนที่ ไปร่วมให้บริการตัดผมให้แก่คนไร้บ้านผู้ด้อยโอกาสทางสังคม และ SUZUKI CARRY FOOD TRUCK รถอาหารติดล้อ ไปบริการความอร่อยอิ่มท้องให้แก่คนไร้บ้านและผู้ที่มาร่วมงาน ณ บริเวณสด ชื่นสถําน ใต้สะพานปิ่นเกล้ํา “เราไม่เคยหยุดสานต่อเจตนารมณ์อันดีเพื่อสังคมและผู้คน ซึ่งโครงการ SUZUKI CARRY Your Dream CARRY Your Life ที่นำรถ
กระบะบรรทุกอเนกประสงค์ SUZUKI CARRY มาดัดแปลงเป็นร้านตัดผมเคลื่อนที่เพื่อออกไปร่วมกิจกรรมตัดผมให้ผู้ด้อยโอกาส ทางสังคม รถคันนี้ออกตระเวนให้บริการตัดผมแก่ประชาชนมาแล้วทั่วประเทศ เมื่อทราบว่ามีการจัดกิจกรรมเพื่อคนไร้บ้าน เราจึงไม่ ลังเลที่จะจับมือกับพันธมิตรร่วมอุดมการณ์ในการลงพื้นที่เพื่อไปทำประโยชน์ขับเคลื่อนความสุขสู่คนไร้บ้านในครั้งนี้”


นายวัลลภ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า แนวคิด “Carry Your Dream เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน” ยังคงเป็นดีเอ็นเอที่ชัดเจนของ SUZUKI
CARRY เพรําะไม่ว่าความฝันของคุณจะเป็นอย่างไร หรืออยู่ท่ามกลางวิกฤตการณ์แบบไหน SUZUKI CARRY ก็พร้อมจะเป็น
ยานพาหนะที่อยู่เคียงข้างร่วมฝ่าวิกฤตในทุกสถานการณ์ ซึ่งที่ผ่านมาได้พัฒนารูปแบบให้สามารถรองรับการดัดแปลงได้อย่าง
หลากหลาย จึงตอกย้ำได้อย่ํางชัดเจนว่ํา SUZUKI CARRY เป็นได้มํากกว่ารถขนสินค้าหรือสัมภาระ แต่เปรียบเสมือนพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ที่พร้อมจะสนับสนุนและร่วมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการด้วยความจริงใจ เดินหน้าไปสู่จุดหมายและประสบ
ความสำเร็จไปด้วยกัน อีกทั้งเรายังมีพันธมิตรเป็นสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศเข้ามาร่วมเป็นเอ็กซ์คลูซีฟลีสซิ่ง ช่วยเรื่องการ อนุมัติสินเชื่อให้มีความหลากหลายและช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถยนต์ซูซูกิได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยลูกค้ําที่สนใจสํามํารถติดต่อ
สอบถํามได้ที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ
ช่องทํางกํารติดต่อ
http://www.suzuki.co.th
http://www.facebook.com/officialsuzukimotorthailand
SUZUKI Cause We Care: 1800-600-900

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

เปิดตัว นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ สีสุดเทรนดี้ “ไทเทเนียมกากี” ในงานบิ๊ก มอเตอร์ เซล 2023

นิสสันนำรถยอดนิยมครบทุกรุ่นโชว์ในงาน พร้อมอัดโปรโมชั่นพิเศษ

“โปรใหญ่ SAY YES!” หลากหลายทางเลือกตรงใจลูกค้า ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0% หรือผ่อนนานสุด 84 เดือน

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย (25 สิงหาคม 2566) นิสสัน เปิดตัว นิสสัน คิกส์
อี-พาวเวอร์ สีพิเศษ ไทเทเนียม กากี ครั้งแรกกับรถยนต์สีอินเทรนด์
ร่วมสร้างสีสันในงานบิ๊ก มอเตอร์เซล 2023 ระหว่าง 25 สิงหาคม –
3 กันยายน นี้ ที่ไบเทค บางนา สนองความต้องการของลูกค้า
พร้อมเติมแอคทีฟไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่รักการผจญภัยและการใช้
ชีวิตกลางแจ้ง
นอกจากนี้ นิสสันยังนำรถยนต์รุ่นอื่น ๆ มาให้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด
อาทิ นิสสัน อัลเมร่า รถสปอร์ตซีดานรุ่นล่าสุด นิสสันเทอร์ร่า
รถเอสยูวีหรูสำหรับทุกคนในครอบครัว และนิสสัน นาวารา
รถกระบะอเนกประสงค์ยอดนิยม
มาซาโอะ สึสึมิ รองประธานสายงานการตลาด การขาย
บริการหลังการขาย และพัฒนาเครือข่าย ผู้จำหน่าย นิสสัน
ประเทศไทย กล่าวว่า “นิสสันรับฟังลูกค้าอยู่เสมอ
และเพื่อสร้างสรรค์การเดินทางให้น่าประทับใจ สะท้อนตัวตนของลูกค้า
สีไทเทเนียม กากี ซึ่งเป็นสีพิเศษในนิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์
และได้รับความนิยมในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เปิดตัว
โดยมีลูกค้าชาวไทยให้ความสนใจ เราจึงได้แนะนำสีไทเทเนียม กากี
กับรถเอสยูวียอดนิยม เป็นครั้งแรก
ตอกย้ำจุดยืนของการเป็นรถยนต์ที่ใช่ ช่วยเพิ่มความสนุกในการขับขี่

และเติมเต็มความต้องการของลูกค้า
ให้ได้รับประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้โด
ยที่ไม่ต้องชาร์จ”
นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ไทเทเนียม กากี
ออกแบบมาสำหรับคนรุ่นใหม่ที่นิยมการใช้ชีวิตกึ่งผจญภัย
และรักการเดินทาง สีภายนอกในโทนกากีเป็นสีที่สื่อถึงธรรมชาติ
การผจญภัย ความอบอุ่น และการผ่อนคลาย
รวมถึงสะท้อนบุคลิกแอคทีฟไลฟ์สไตล์ที่ชอบใช้ชีวิตกลางแจ้ง
นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ สี ไทเทเนียม กากี มีเฉพาะรุ่น VL
และผลิตจำนวนจำกัด 100 คัน โดยมีราคาจำหน่ายที่ 920,000 บาท

นอกจากนี้ นิสสัน และ THULE
ยังได้ร่วมกันมอบข้อเสนอพิเศษด้วยชุดตกแต่งราคาพิเศษเพื่อยกระดับป
ระสบการณ์ในการการทำกิจกรรมกลางแจ้งใกล้ชิดธรรมชาติ อาทิ
สปอยเลอร์หลัง สเกิร์ตรอบคัน จาก นิสสัน
รวมถึงแร็คหลังคาบรรทุกสัมภาระ และกล่องเก็บสัมภาระจาก THULE
ขณะที่จุดเด่นของรถยังคงเป็นระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากเท
คโนโลยี อี-พาวเวอร์ อันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะจากนิสสัน
ขับสนุกพร้อมสัมผัสได้ถึงประสบการณ์การขับขี่เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟ
ฟ้า 100% โดยไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถ
ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาสถานีชาร์จ
อัตราเร่งที่ทันใจจากแรงบิดสูงสุดถึง 280 นิวตันเมตร (Nm)
แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนขนาด 2.06 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh)
ให้ประสิทธิภาพและกำลังมากขึ้น
มาพร้อมอัตราประหยัดน้ำมันเมื่อขับขี่ในเมือง สูงสุด 26.3
กิโลเมตร/ลิตร*

คอมแพคเอสยูวีรุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์เด่นมากมาย อาทิ Wireless
Charger** เอาใจลูกค้ายุคดิจิทัล พวงมาลัยบุเสริมวัสดุบุนุ่ม
เทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ “อี-เพดัล สเต็ป” (e-Pedal Step)
ที่สามารถเร่ง และชะลอความเร็วได้ในคันเร่งเดียว
และยังมั่นใจทุกการขับขี่ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงรอบคัน
360 Safety Shield เพิ่มความสะดวกสบายด้วย NissanConnect
เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ทั้ง Android Auto** และ Apple CarPlay
ในงานนี้ นิสสันยังยกขบวนรถยอดนิยมครบทุกรุ่นมาจัดแสดง ได้แก่
นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ คอมแพคซีดานที่ “แรงจริง จัดให้” ด้วยเครื่องยนต์
HRA0 ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุดถึง 100 แรงม้า (Ps)
และแรงบิด 152 นิวตันเมตร (Nm) ให้อัตราเร่งที่แรง
และรวดเร็วให้ทุกการเดินทางสนุกเต็มพิกัด
รูปลักษณ์ปราดเปรียวโดดเด่นสะดุดตามากขึ้นด้วยกระจังหน้าคอนเซปต์
Next-generation V-motion มาพร้อมเทคโนโลยี NissanConnect
Services เพื่อการเชื่อมต่อไร้สายระหว่างผู้ขับขี่และรถผ่านสมาร์ทโฟน
แอพพลิเคชัน
เสริมด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบายจากรถพ
รีเมียมสู่คอมแพคซีดาน อาทิ
เทคโนโลยีเซนเซอร์ตรวจสอบแรงดันลมยาง (Tire Pressure
Monitoring System – TPMS) เทคโนโลยีเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ
(High Beam Assist – HBA)
และเทคโนโลยีแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure
Warning – LDW) รวมถึงการติดตั้งฟังก์ชั่น SOS
เพื่อขอความช่วยเหลือจากศูนย์ให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินได้ทันทีผ่านระ
บบเครื่องเสียงภายในรถยนต์ เมื่อเกิดเหตุต่างๆ
นิสสัน เทอร์ร่า รถยนต์อเนกประสงค์พรีเมียมรุ่นล่าสุด
มาพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกและภายในที่สปอร์ตโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะรุ่นล่าสุด นิสสัน เทอร์ร่า สปอร์ต

ที่เพิ่มความเท่มีสไตล์ด้วยชุดแต่งสีดำรอบคัน
ครบครันทั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยและความบันเทิง
รวมทั้งห้องโดยสารที่กว้างขวาง ทำให้นิสสัน เทอร์ร่า สปอร์ต
เป็นเอสยูวีที่ตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว เครื่องยนต์ดีเซล
YS23DDTT ขนาด 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ กำลังสูงสุด 190 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร และเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด
ให้การขับขี่นุ่มนวลแต่ทรงพลัง ประหยัดน้ำมัน
ทั้งยังสามารถรองรับน้ำมันดีเซลได้ทุกชนิดทั้ง B7, B10 และ B20
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ไปได้ทุกเส้นทาง อุ่นใจกับ ‘360 Degree
Safety Shield’ เทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน
ระบบความบันเทิงระดับไฮเอนด์ด้วยเครื่องเสียงจาก Bose Premium
Audio พร้อมลำโพงคุณภาพสูง 8 ตัว จอสัมผัสขนาด 11
นิ้วและการเชื่อมต่อสมาร์ททีวีหรือ HDMi
เพิ่มความบันเทิงให้แก่ผู้โดยสารด้านหลัง
นิสสัน นาวารา รถกระบะที่ทุกรุ่นทนถึงใจ
ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการใช้งาน
ทั้งการขับขี่แบบไลฟ์สไตล์หรือการใช้งานที่ต้องการความทนทาน
ไม่ว่าจะเป็น นิสสัน นาวารา แบบซิงเกิลแค็บ
ซึ่งได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าที่ต้องการรถกระบะใช้งานหนัก
และวางไจได้
ด้วยโครงสร้างโมโนเฟรมแชสซีทำจากเหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน
(Fully Boxed Frame) พร้อมรองรับทุกการบรรทุกหนัก
ที่มีพื้นที่บรรทุกของได้อย่างจุใจ หรือ นิสสัน นาวารา PRO-4X และ
นิสสัน นาวารา คาลิเบอร์ แบล็คอิดิชั่น
ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขับขี่สนุกกับทุกการเดินทาง การผจญภัย
และการใช้งานทั่วไป
นิสสัน นาวารา มากับสมรรถนะทรงพลัง เครื่องยนต์ทรงพลัง
YS23DDTT แบบ 4 สูบ DOHC เทอร์โบคู่ ความจุ 2.3 ลิตร

ที่ให้กำลังสูงสุด 190 hp (Ps) และแรงบิดสูงสุดถึง 450 นิวตันเมตร
(Nm) เกียร์ออโตเมติก 7 สปีด
ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่แบบแมนนวล (M mode)
ได้เพื่อความสนุกสนานในการขับขี่ที่ควบคุมได้ดังใจ
รวมทั้งยังมีคุณสมบัติอื่นๆ ในด้านประโยชน์การใช้งาน
และความสะดวก เช่น ฝาท้ายที่ช่วยผ่อนแรงในการเปิด-
ปิดและขนของที่กระบะได้สะดวก รวมถึงการปรับตำแหน่งตะขอยึดใหม่
เพื่อตอบโจทย์การบรรทุกสัมภาระทั้งขนาดใหญ่ และเล็ก
พิเศษในงาน บิ๊ก มอเตอร์ เซล 2023 นิสสันจัดโปรโมชั่นพิเศษ
“โปรใหญ่ SAY YES!” ที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น
กับข้อเสนอพิเศษหลากหลายที่จัดขึ้นให้ตรงตามความต้องการลูกค้าขอ
งรถแต่ละรุ่น โดยมีข้อเสนอตั้งแต่ดาวน์ต่ำ ผ่อนสบาย และผ่อนนาน
ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยเริ่มต้น 0% ไปจนถึงผ่อนนาน 84 เดือน
นอกจากนี้ลูกค้ายังอุ่นใจได้กับข้อเสนอพิเศษอื่นๆ*** เช่น
โปรแกรมขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ นิสสัน พรีเมี่ยม วารันตี
ค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี/100,000 กิโลเมตร Roadside Service
Assistance บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง (5 ปี หรือ 150,000
กิโลเมตร) ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อผู้จำหน่ายนิสสันในงาน
และทั่วประเทศ หรือดูข้อมูลได้จากเว็บไซต์ https://nissan.co.th

  • สำหรับการขับขี่ในเมือง / ตามมาตรฐาน NEDC หรือ
    ป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล (ECO sticker)
    ซึ่งแต่ละรุ่นจะมีข้อมูลแตกต่างกันไป
    ** เฉพาะสมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับ
    *** ข้อเสนอเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด
หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

 ‘ซูซูกิ’เติมเต็มสีสัน Big MOTOR SALE 2023

ชูแนวคิด “Drive Your Life in Colors” 

ยกทัพรถยนต์คุณภาพร่วมงาน พร้อมแคมเปญพิเศษสุด BIG

ผ่อนเริ่มต้นเพียง 2,555 บาท หรือเลือกผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน

เฉพาะในงานนี้เท่านั้น !!

25 สิงหาคม 2566-กรุงเทพมหานคร-นายมิโนรุ อามาโนะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า งาน “มหกรรมเปิดโลกยานยนต์ (Big MOTOR SALE 2023)  ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม – 3 กันยายน 2566  ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นับเป็นงานจัดแสดงรถยนต์สำคัญอีกหนึ่งงานที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นตลาดรถยนต์ในช่วงกลางปี ด้วยแนวทางการจัดงานเพื่อส่งเสริมการขายรถยนต์อย่างชัดเจน

การเข้าร่วมงานในครั้งนี้ มาพร้อมแนวคิด “Drive Your Life in Colors” ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากจินตนาการที่เปรียบท้องถนนเสมือนผ้าใบที่ว่างเปล่าโดยถนนสายนี้จะถูกแต่งแต้มด้วยความหลากหลายของรถยนต์ Suzuki ที่มีความแตกต่างทั้งเรื่องของสีสัน ดีไซน์ และรูปแบบการใช้งานที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคของประเทศไทยมาเป็นเวลาอย่างยาวนาน ทำให้ถนนสายนี้กลับมามีชีวิตชีวา เพิ่มความสนุกและความน่าสนใจในการขับขี่รถยนต์คู่ใจมากขึ้นในทุกๆ วัน

“ผลิตภัณฑ์ของซูซูกิทุกรุ่นมีดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความสดใหม่ สามารถนำไปตกแต่งตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างหลากหลาย อีกทั้งยังมอบความคุ้มค่า คุ้มราคา โดยเฉพาะในเรื่องของอัตราความประหยัดเชื้อเพลิง ตอบรับกับความต้องการในการใช้งานของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมอีกด้วย”

ทั้งนี้ สถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีตัวเลขยอดขายตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม อยู่ที่ 464,550 คัน ซึ่งเมื่อนำไปเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้ามีตัวเลขลดลงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการชะลอการตัดสินใจของผู้บริโภค ไปจนถึงเรื่องของความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งคาดการณ์ว่าภาพรวมครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ส่งผลให้ตัวเลขยอดขายรวมตลอดทั้งปี 2566 จะอยู่ที่ประมาณ 850,000 คัน 

สำหรับซูซูกิมีตัวเลขยอดขายรวมเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2566 อยู่ที่ 8,006 คัน เชื่อว่าเมื่อสถานการณ์ต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจในภาพรวมและธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์กลับเข้าสู่ทิศทางที่ดีตามปกติ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น จะมีส่วนผลักดันให้ยอดขายรถยนต์ของซูซูกิเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่วางไว้

อย่างไรก็ตาม ภายในงานครั้งนี้ยังคงเป็นการนำรถยนต์รุ่นยอดนิยมมาตกแต่งในสไตล์ที่แตกต่าง เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้บริโภคที่สนใจ พร้อมด้วยการเตรียมกิจกรรมส่งเสริมสุดพิเศษการขายไว้รองรับทุกท่านตลอดระยะเวลาการจัดงาน  

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  ไฮไลท์สำคัญภายในงาน Big MOTOR SALE 2023 ผู้เข้าชมงานจะได้พบกับกองทัพรถยนต์คุณภาพจากซูซูกิ นำโดย SUZUKI SWIFT สปอร์ตอีโคคาร์ยอดนิยมของคนไทย สร้างยอดขายเป็นอันดับหนึ่งของซูซูกิมาอย่างต่อเนื่อง 

SUZUKI SWIFT นอกจากดีไซน์อันโดดเด่น ด้วยแพลตฟอร์ม HEARTECT เทคโนโลยีเฉพาะของซูซูกิที่ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อช่วยเสริมให้รถมีน้ำหนักน้อยลง แต่คงความแข็งแกร่งและประหยัดน้ำมันมากขึ้น เครื่องยนต์รหัส K12M ขนาด 1.2 ลิตร หัวฉีดคู่ DUALJET ช่วยลดมลพิษและประหยัดน้ำมัน ในราคาเริ่มต้นเพียง 567,000 บาท เลือกรับข้อเสนอดอกเบี้ยพิเศษ 0% หรือผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 4,444 บาท หรือ เลือกผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน 

SUZUKI CIAZ ฉีกกฎแห่งความคุ้มค่า สบายกว่าอย่างมีสไตล์ในแบบอีโคซีดานสู่ประสบการณ์ขับขี่ที่ครบทุกความสมบูรณ์แบบ ชูความสปอร์ตด้วยชุดแต่งโครเมียมรอบคัน ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายคุ้มค่าอย่างลงตัว ราคาจำหน่ายเริ่มต้นเพียง 528,000 บาท เลือกรับข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 4,444 บาท หรือเลือกรับดอกเบี้ยพิเศษ 0% 

SUZUKI CELERIO รถยนต์นั่งขนาดคอมแพ็คคุณภาพเกินตัว และได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีมาโดยตลอด มีสมรรถนะการขับที่ดีเกินความคาดหมาย ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร เป็นเจ้าของได้ง่ายด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 338,000 บาท พร้อมรับข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 2,555 บาท หรือเลือกผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน

SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์ โดยนับจากนี้ SUZUKI CARRY จะไม่ได้ถูกจดจำในฐานะ “Food Truck” ธุรกิจติดล้อเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น Goods Truck ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถนำไปตกแต่งต่อยอด ปรับใช้เพื่อไลฟ์สไตล์หรือธุรกิจส่วนตัว กลายเป็นรถขนส่งความสุขเคียงข้างทุกเส้นทางฝัน เป็นเสมือนดั่งพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ที่พร้อมจะสนับสนุนและร่วมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างด้วยความจริงใจ พร้อมเดินหน้าไปสู่จุดหมายและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ราคาจำหน่ายเพียง 395,000 บาท เลือกรับข้อเสนอดอกเบี้ยพิเศษ 1.89%

SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID -The Power of Smart เต็มที่ทุกฟังก์ชัน เต็มพลังสมาร์ทไฮบริด” รถอเนกประสงค์ MPV ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ SMART HYBRID ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ SHVS จากซูซูกิ ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า Integrated Starter Generator หรือ ISG พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ION  ประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 17.9 กิโลเมตรต่อลิตร เสริมประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนให้รถออกตัวได้อย่างนุ่มนวล โดยมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 134 กรัม/กิโลเมตร การบำรุงรักษาง่ายไม่แตกต่างจากรถเครื่องยนต์เบนซิน ใช้งานได้อย่างไร้กังวล รับประกันอายุแบตเตอรี่นาน 5 ปี ราคาพิเศษจำหน่ายเริ่มต้น 699,000 บาท พร้อมรับข้อเสนอขับฟรี 90 วัน ผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 4,999 บาท หรือเลือกผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน

SUZUKI XL7 รถยนต์ครอสโอเวอร์ขนาด 7 ที่นั่ง รถยนต์สำหรับครอบครัว ที่มีมิติรถขนาดใหญ่ที่มีความยาว 4,450 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,775 มิลลิเมตร ความสูง 1,710 มิลลิเมตร และความสูงใต้ท้องรถ 200 มิลลิเมตร มอบวิสัยทัศน์และสมรรถนะในการขับขี่ ทุกฟังก์ชันการใช้งานอย่างครบครัน ในราคาที่คุ้มค่า 814,000 บาท เลือกรับข้อเสนอดอกเบี้ยพิเศษ 0% หรือผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 5,888 บาท หรือเลือกผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน

สำหรับโซนการจัดแสดงรถตกแต่งพิเศษ ยังคงคับคั่งไปด้วยไอเดียการตกแต่งที่หลากหลาย นำเสนอแนวทางสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบการตกแต่งรถที่ไม่เหมือนใคร ในครั้งนี้ซูซูกิภูมิใจเสนอ การนำ SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์มาตกแต่ง ภายใต้แนวคิด Laundry Carry เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจซัก อบ รีด และยังมุ่งหวังที่จะจุดประกายให้เกิด การขยายเส้นทางธุรกิจให้เติบโต ไปจนถึงผู้ที่กำลังสนใจอยากสร้างอาชีพในยุคใหม่  เนื่องจากปัจจุบัน ธุรกิจรับซักรีด กำลังมีทิศทางการเติบโตที่ดีและมีการขยายตัวเป็นอย่างมาก เพราะสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตเร่งรีบ ต้องการลดภาระในครัวเรือนลง จึงกลายมาเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจ ซึ่งที่ผ่านมา  SUZUKI CARRY มีบทบาทสำคัญในการต่อยอดให้กับเจ้าของธุรกิจ ด้วยการเลือกใช้งานรถยนต์ SUZUKI CARRY ในการให้บริการรับส่งเสื้อผ้าซักรีดถึงมือลูกค้า ช่วยยกระดับงานบริการของผู้ประกอบการให้เข้าถึงผู้บริโภคให้จนได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น  

ด้วยความอเนกประสงค์ของ SUZUKI CARRY สามารถปรับแต่งตัวรถได้หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ทุกธุรกิจ เมื่อนำผสมผสานเข้ากับแนวคิดทางธุรกิจด้วยการนำมาตกแต่งดัดแปลงให้กลายเป็น Laundry Carry ในครั้งนี้ เราจึงมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถส่งเสริมธุรกิจของผู้ประกอบการ หรือ ช่วยเพิ่มแนวทางในการสร้างธุรกิจให้แก่คนไทยได้เป็นอย่างดี 

SUZUKI CARRY พร้อมสนับสนุนทุกเส้นทางความฝันของผู้ประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในทุกเส้นทาง ซึ่งสอดรับกับแนวคิด “CARRY YOUR DREAM เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน” ที่พร้อมร่วมเดินทางไปด้วยกันในฐานะพาร์ทเนอร์คนสำคัญที่อยู่เคียงข้างผู้ประกอบธุรกิจเสมอมา

นายวัลลภ ยังกล่าวอีกว่า ซูซูกิเตรียมมอบแคมเปญพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองรถภายในงาน โดยรายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บูธรถยนต์ซูซูกิ ภายในงาน Big MOTOR SALE 2023 ระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม – วันที่ 3 กันยายน 2566  ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา หรือที่โชว์รถยนต์ Suzuki ทั่วประเทศ

ช่องทางการติดต่อ

http://www.suzuki.co.th  

http://www.facebook.com/officialsuzukimotorthailand

SUZUKI Cause We Care: 1800-600-900

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ คว้ามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาว จาก ASEAN NCAP ต่อเนื่อง 3 เจเนอเรชันซ้อน ตอกย้ำการเป็นเอสยูวีที่เปี่ยมคุณภาพ

มาพร้อมมาตรฐานความปลอดภัย ควบคู่กับสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมในทุกเส้นทาง

(กรุงเทพฯ – 18 สิงหาคม 2566) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเอสยูวีในไทย เผยความสำเร็จอีกขั้นของ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ เจเนอเรชันที่ 6 ยนตรกรรมรุ่นล่าสุดในไลน์อัปเอสยูวีของฮอนด้า ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จากการทดสอบการชนของ ASEAN NCAP ซึ่งเป็นการทดสอบเพื่อวัดสมรรถนะด้านความปลอดภัยของยานยนต์รุ่นใหม่ที่วางจำหน่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (New Car Assessment Program for Southeast Asia) โดยนับเป็นการคว้ามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดต่อเนื่อง 3 เจเนอเรชัน สะท้อนการเป็นรถเอสยูวีคุณภาพที่เปี่ยมด้วยมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด อีกทั้งเป็นเครื่องยืนยันถึงการสร้างสรรค์และนำเสนอยนตรกรรมคุณภาพของฮอนด้า ที่มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัย เพื่อส่งมอบความมั่นใจและความสุขสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนในทุกเส้นทาง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของฮอนด้าในการมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำ
ในการสร้างสังคมการขับขี่ปลอดอุบัติเหตุให้เกิดขึ้น ทั้งการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั่วโลกภายในปี 2050

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ด้วยคะแนนรวม 87.16 เต็ม 100 คะแนน โดยได้รับคะแนนในแต่ละด้าน ทั้ง 4 ด้าน จากคะแนนเต็ม 120 คะแนน ซึ่งหลักเกณฑ์การประเมินประกอบด้วย การทดสอบการชนจากด้านหน้า การชนจากด้านข้าง และการประเมินเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย โดย ซีอาร์-วี ใหม่ ได้รับคะแนนในส่วนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ (Adult Occupant Protection: AOP) 31.45/32 คะแนน การปกป้องผู้โดยสารที่เป็นเด็ก (Child Occupant Protection: COP) 45.81/51 คะแนน เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย (Safety Assist Technologies: SATs) 19.50/21 คะแนน และความปลอดภัย
ต่อผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ (Motorcyclist Safety: MS) 9.05/16 คะแนน ทั้งนี้ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ เปิดตัว
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2566 และได้รับกระแสตอบรับ
ที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า นอกจากนี้ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ยังสามารถคงมาตรฐานความปลอดภัยยอดเยี่ยมระดับ
5 ดาวไว้ได้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เจเนอเรชันที่ 4
ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวเมื่อปี พ.ศ. 2556 จนถึงเจเนอเรชันปัจจุบัน โดยรุ่นที่นำมาใช้ในการทดสอบครั้งนี้ เป็นรุ่น EL 4WD* ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร Direct Injection DOHC VTEC TURBO

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ทุกรุ่นย่อย ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า
เซนส์ซิ่ง* (Honda SENSING)
ที่ผสานการทำงานของกล้องด้านหน้าและเรดาร์ ในการตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยฟังก์ชันการทำงานหลัก ได้แก่

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
  • ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD) ที่ช่วยเพิ่ม
    ทัศนวิสัยในเวลากลางคืนและปรับองศาของแสงไฟเพื่อลดการรบกวนรถด้านหน้าและคนเดินถนน
  • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)

พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่อื่น ๆ* อาทิ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS) เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor) เป็นต้น

ฮอนด้า จะยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนายนตรกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบยนตรกรรมที่มีคุณภาพ ครบครันด้วยเทคโนโลยีทั้งด้านการขับขี่และความปลอดภัย เพื่อมอบความมั่นใจและความปลอดภัยในทุกการเดินทาง เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำในการสร้างสังคมการขับขี่ปลอดอุบัติเหตุให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ทั้งการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั่วโลกภายในปี 2050

สัมผัสกับ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ โดยสามารถสอบถามข้อมูลจากที่ปรึกษา
การขายได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชตกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ http://www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดทาง http://www.honda.co.th/crv ลูกค้าสามารถทดลองขับเพื่อสัมผัสกับเทคโนโลยีความปลอดภัย และสมรรถนะการขับขี่ของฮอนด้า
ซีอาร์
-วี ใหม่ ทั้งขุมพลังเครื่องยนต์เทอร์โบ VTEC TURBO ที่มอบอัตราเร่งเร้าใจ ขับสนุกสไตล์สปอร์ต และระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมในชีวิตประจำวันได้อย่างไร้กังวล ได้ที่
โชว์รูมฮอนด้า

โดย ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ มาพร้อมข้อเสนอพิเศษ** ดอกเบี้ย 2.29% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี พร้อมฟรีโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ (Honda Ultimate Care) ขยายเวลารับประกันคุณภาพอีก 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร สำหรับรุ่น e:HEV รับเพิ่มประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปีและรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปีไม่จำกัดระยะทางโดยลูกค้าที่ลงทะเบียนและร่วมกิจกรรมทดลองขับผ่าน http://www.honda.co.th/testdrive ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2566 – 30 กันยายน 2566 จะได้รับฟรีขวดน้ำพับได้ มูลค่า 250 บาท**

*อุปกรณ์มาตรฐานความปลอดภัยแตกต่างกันในแต่ละรุ่นและแต่ละประเทศ

**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

ยนตรกรรมรุ่นต่างๆ ของฮอนด้าที่ผ่านการทดสอบการชนของ ASEAN NCAP

รุ่นรุ่นปีผลการทดสอบ
ซีอาร์วี2023ระดับ 5 ดาว
2017ระดับ 5 ดาว
2013ระดับ 5 ดาว*
ดับเบิลยูอาร์วี2023ระดับ 5 ดาว
เอชอาร์วี2022ระดับ 5 ดาว
2015ระดับ5 ดาว**
บีอาร์-วี2022ระดับ 5 ดาว
2015ระดับ5 ดาว*
ซีวิค2021ระดับ5 ดาว
2016ระดับ5 ดาว**
2013ระดับ5 ดาว*
ซิตี้2020 (ซีดานและแฮทช์แบ็ก)ระดับ5 ดาว
2014ระดับ5 ดาว*
2012ระดับ5 ดาว*
แอคคอร์ด2019ระดับ5 ดาว
บริโอ้ และ บริโอ้ อเมซ2016ระดับ4 ดาว
แจ๊ซ2014ระดับ5 ดาว*

* ในรุ่นที่ไม่ได้ติดตั้งระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist: VSA) และระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า (Seatbelt Reminder: SBR) ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 4 ดาว

** สำหรับฮอนด้า ซีวิค (รุ่นปี 2016) และเอชอาร์-วี (รุ่นปี 2015) ในรุ่นที่ไม่ได้ติดตั้งระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า (Seatbelt Reminder: SBR) ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 4 ดาว

เกี่ยวกับ ASEAN NCAP

การทดสอบการชนเพื่อทดสอบสมรรถนะด้านความปลอดภัยของรถยนต์ของ ASEAN NCAP (ASEAN New Car Assessment Program) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการประเมินสมรรถภาพรถยนต์ใหม่ หรือ NCAP (New Car Assessment Program) มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนน กระตุ้นให้เกิดการรับรู้และเห็นถึงความสำคัญของการขับขี่ปลอดภัย รวมถึงสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีความปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ประชาคมอาเซียน) ทั้งนี้ การทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยจากการทดสอบการชนของ ASEAN NCAP เป็นการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง ASEAN NCAP และสถาบันวิจัยยานยนต์ประเทศญี่ปุ่น (JARI)

ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ สปอร์ตพรีเมียมเอสยูวีที่ผสานคุณค่าใหม่เพื่อยกระดับเอสยูวีไปอีกขั้น ทั้งดีไซน์ภายนอกที่สปอร์ตพรีเมียม แข็งแกร่งในทุกมิติ ครั้งแรกกับรุ่น RS ที่เสริมความสปอร์ตอีกขั้นในดีไซน์สไตล์เอกซ์คลูซีฟรอบคัน ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย มาพร้อมพื้นที่สัมภาระท้ายขนาดใหญ่ รองรับทุกไลฟ์สไตล์กับเบาะโดยสารทั้งแบบ 5 ที่นั่ง และ 7
ที่นั่ง
สามารถปรับพับเพื่อเพิ่มพื้นที่การใช้งานได้ดั่งใจ มาพร้อม 2 ขุมพลังการขับเคลื่อน กับระบบฟูลไฮบริด e:HEV และ
ขุมพลังเครื่องยนต์เทอร์โบ
VTEC TURBO มอบสมรรถนะการขับขี่ขับสนุก ทรงพลัง แต่ยังมีอัตราประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม
โดยมีให้เลือกทั้งแบบระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (Real Time(TM) AWD with E-DPS) มั่นใจทุกเส้นทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ในทุกรุ่นย่อย อีกทั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่ระดับพรีเมียม อาทิ ใหม่ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS) เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน
(Hill Descent Control: HDC) ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ที่ดีตลอดเส้นทางด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่ครบครัน อาทิ ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี พร้อมระบบปิดอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Hands-Free Power Tailgate with Walk Away Close) ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ พร้อม Honda Smart Key Card ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ (Driver Memory Seat) ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร (Ambient Light) อีกทั้งหลากหลายเทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมต่อ
สมาร์ตไลฟ์สไตล์ อาทิ ใหม่ ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-up Display: HUD) ระบบเครื่องเสียง BOSE พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) พร้อมมอบประสบการณ์เดินทางที่เหนือระดับไปอีกขั้น เสริมความมั่นใจยิ่งขึ้นสำหรับรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ด้วยการรับประกัน
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทยให้ลูกค้าสนุกกับการขับขี่เหนือระดับ

ด้วยการทดลองขับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส

ในงาน “เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่ กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ

กรุงเทพฯ – 17 สิงหาคม 2566: บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)
จำกัด มอบความประทับใจให้ลูกค้าด้วยประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ 
กับการทดลองขับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์
ครอส ในงาน “เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่
กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ
งาน “เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่
กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ จัดขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ รวมทั้งสิ้น 4 วัน 4
ภาค โดยส่งท้ายกิจกรรมความสนุกกันที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ลูกค้าที่เข้าร่วมงานต่างรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจที่ได้สัมผัสกับสมรรถนะก
ารขับขี่ที่เหนือชั้น จากการทดลองขับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส
บนสนามทดสอบรถยนต์ที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ

นอกจากนี้
ลูกค้ายังรู้สึกประทับใจในดีไซน์ที่หรูหราด้วยเอกลักษณ์ที่แตกต่างของ
รถทั้งสองรุ่นนี้อีกด้วย โดย มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์
ที่โดดเด่นในด้านความหรูหรา สะดวกสบาย
สามารถครองใจครอบครัวยุคใหม่
ที่ต้องการมองหารถอเนกประสงค์ที่มีห้องโดยสารกว้างขวาง
ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบครัน
ขณะที่ผู้ขับขี่ที่รักการผจญภัยและออกทริปเอาท์ดอร์ ต่างรู้สึกประทับใจ
มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส
ที่โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ใหม่สไตล์โฉบเฉี่ยว ขับสนุกสไตล์สปอร์ต หรูหรา
สะดวกสบาย ให้ความปลอดภัย สไตล์เอสยูวี
ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นระบบการขับขี่สุดล้ำสมัย
เสริมความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย  “ระบบควบคุมการขับเคลื่อน
และสมดุลขณะเข้าโค้ง” (Active Yaw Control: AYC)
ช่วยควบคุมการทำงานของล้อด้านในและด้านนอกขณะเข้าโค้ง
เพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพในการขับขี่
ให้ผู้ขับขี่มั่นใจได้มากกว่าเดิม
พร้อมลุยในหลากหลายสภาพถนนและสภาพอากาศที่แตกต่าง

ลูกค้าที่สนใจ สามารถชม มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ
เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ทั้ง 2 รุ่น ได้ที่โชว์รูม มิตซูบิชิ มอเตอร์
ทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
และนัดหมายเพื่อทดลองขับได้ที่ http://www.mitsubishi-motors.co.th หรือ
มิตซูบิชิ คอลเซ็นเตอร์ หมายเลขโทรศัพท์ 02-079-9500
เปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จัดกิจกรรม ‘GOOD VIBES.GREAT DEAL.’ ชวนลูกค้าออกทริป สัมผัสและทดลองขับยนตรกรรมล้ำสมัยจาก BMW, MINI และ BMW Motorradพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ 31 ก.ค.-13 ส.ค. นี้ ที่ Bluport HuaHin Resort Mall

บริษัท มิลเลนเนียม ออโต๊ กรุ๊ป จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และมอเตอร์ไซค์
บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อย่างเป็นทางการ ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น
(เอเชีย) จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรม ‘GOOD VIBES. GREAT DEAL.’ ชวนลูกค้าออกทริป
สู่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สัมผัสและทดลองขับยนตรกรรมล้ำสมัย
จาก บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษ
ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม ถึง 13 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ทมอลล์
สมปราชญ์ โบสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายขายและการตลาด กล่าวว่า “เราจัดทริปนี้
ขึ้นเป็นพิเศษ สำหรับลูกค้า มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป เดินทางสู่หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
พร้อมสัมผัสและทดลองขับยนตรกรรมแห่งอนาคต ที่มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยไม่ตกเทรนด์
กับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน รวมไปถึงมอเตอร์ไซค์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในเมือง
พร้อมรับข้อเสนอสุดคุ้มค่า ขอเชิญลูกค้าและผู้ที่สนใจ มาร่วมออกทริปกับเราครับ”
++ ทดลองขับยนตรกรรมแห่งอนาคต จาก BMW, MINI และ BMW Motorrad
มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป นำลูกค้าไปสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ กับกิจกรรม ‘GOOD VIBES.
GREAT DEAL.’ พร้อมทดลองขับยนตรกรรมล้ำสมัยจาก บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู
มอเตอร์ราด ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม ถึง 13 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์การค้า บลูพอร์ต หัวหิน
รีสอร์ทมอลล์ โดยมาพร้อมหลากหลายข้อเสนอสุดพิเศษ อาทิ
BMW iX xDrive40 Sport

  • ดาวน์ 0%*
  • ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้น 1.4%*
  • ฟรี! ประกันภัยชั้นหนึ่ง นานสูงสุด 3 ปี*
  • ฟรี! อัปเกรด BSI นานสูงสุด 10 ปี*
  • ฟรี! BMW Wallbox*
    MINI Cooper SE มินิไฟฟ้า 100%
    • ฟรี! ประกันภัยชั้นหนึ่ง นานสูงสุด 3 ปี*
    • ฟรี! Warranty 5 ปี*
    • ฟรี! Wall Charge*
    • ฟรี! อัปเกรด MSI นานสูงสุด 10 ปี*
    BMW Motorrad C 400 GT โดดเด่นด้วยสมรรถนะและดีไซน์ครบครัน
  • ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 60 เดือน*
    • ฟรี! ประกันภัยชั้นหนึ่ง*
    • ฟรี! Warranty 5 ปี*
    • ฟรี! อัปเกรด BMSI นานสูงสุด 5 ปี*

ทดลองขับวันนี้ รับทันที

  • ร่มสุดพรีเมียมจาก BMW*
  • ฟรี! บัตรเข้าสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน*
  • ฟรี! Voucher ส่วนลดห้องอาหาร 20% โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท*
    (ไม่รวมแอลกอฮอล)
    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
    โทร.1286 Millennium Auto Connect
    Line: https://bit.ly/2Z3ou46 (@millenniumauto)
    https://www.millenniumauto.co.th
หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

ฟอร์ดส่ง ‘เรนเจอร์ แร็พเตอร์’ ลุยสนามเอเชีย ครอส คันทรี แรลลี 2023

กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย, 9 สิงหาคม 2566 – ฟอร์ด ประเทศไทย ร่วมกับ ‘ฟีลลิค อินโนเวชัน มอเตอร์สปอร์ต’ ทีมแข่งระดับตำนาน ส่งรถฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เจเนอเรชันใหม่ เข้าร่วมการแข่งขันเอเชีย ครอส คันทรี แรลลี 2023 หลังประสบความสำเร็จจากการแข่งขันรถกระบะในสนามออฟโรดระดับโลก ทั้งจากงาน 2022 SCORE-International Baja 1000 และคว้าตำแหน่งแชมป์คลาสโชว์รูมจากการแข่งขัน 2023 Finke Desert Race ในประเทศออสเตรเลียเมื่อไม่นานมานี้ โดยฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เจเนอเรชันใหม่ ที่แฟนๆ ชาวไทยคุ้นเคยกับสโลแกน ‘ดุดันไม่เกรงใจใคร’ จะพร้อมลุยในเส้นทางการแข่งขันสุดท้าทายกว่า 2,000 กิโลเมตร ซึ่งเริ่มที่เมืองพัทยา ประเทศไทย ไปจนถึงเมืองปากเซ ประเทศลาว ระหว่างวันที่ 13 – 19 สิงหาคมนี้ 

ทีม ‘ฟีลลิค อินโนเวชัน มอเตอร์สปอร์ต’ นำโดยไมเคิล ฟรีแมน ได้สั่งสมประสบการณ์การแข่งขันทางเรียบมายาวนานและคว้ารางวัลชนะเลิศประเภททีมมาแล้วกว่า 10 ครั้งตั้งแต่ปี 2012 สำหรับในปี 2023 นี้ ฟอร์ด ประเทศไทยสนับสนุนทีมแข่งด้วยการส่งรถกระบะสมรรถนะสูง ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ พร้อมด้วยอะไหล่เสริมสำหรับการแข่งขันให้กับทีมพัฒนารถ นับเป็นครั้งแรกที่รถฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ได้ลงสนามการแข่งขัน เอเชีย ครอส คันทรี ในประเทศไทย โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการปรับแต่งรถของทีม ผสานกับสมรรถนะเหนือชั้นสำหรับคอออฟโรดตัวจริง

ทั้งนี้ ไมเคิล ซึ่งเป็นผู้อำนวยการทีมมีประสบการณ์การแข่งขันมามากกว่า 30 ปี และเป็นนักแข่งที่เคยได้รับชัยชนะมาหลายครั้ง รวมถึงครั้งล่าสุดในปี 2018 ด้วยการขับรถฟอร์ด มัสแตง หมายเลข 55 แข่งขันในรุ่น TA2 และในครั้งนี้ ไมเคิลจะนำฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เจเนอเรชันใหม่ หมายเลข 124 ลงแข่งในสนามเอเชีย ครอส คันทรี แรลลี 2023 พร้อมด้วยไชยยา ชมมาลี ผู้นำทางมือฉมังที่คร่ำหวอดในวงการแข่งรถแรลลีมากว่า 40 ปี

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติและตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้ลงแข่งในสนามนี้ เพราะนี่จะเป็นการแข่งรถแบบครอสคันทรีครั้งแรกของผม การเข้าร่วมแข่งขันรายการนี้เป็นความฝันของผมมานานแล้ว และในปีนี้ก็นับเป็นโอกาสเหมาะในการร่วมมือกับผู้สนับสนุนอย่างฟอร์ด ประเทศไทย จากการฝึกซ้อมที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการแข่งขันรายการนี้มีความท้าทายทางจิตใจยิ่งกว่าการแข่งขันบนทางเรียบมาก เนื่องจากต้องอาศัยประสาทสัมผัสทั้งหมดในการเอาชนะความท้าทายตลอดการแข่งขัน เป้าหมายของเราในครั้งนี้คือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด และเข้าเส้นชัยอย่างสมบูรณ์แบบโดยไร้ข้อผิดพลาด” ไมเคิล ฟรีแมนกล่าว

ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เจเนอเรชันใหม่ หมายเลข 124 ลงแข่งในคลาส ทีทูเอ หรือ โปรดักชัน เอเชีย ซึ่งเป็นประเภทสำหรับรถที่ผลิตจากโรงงานในเอเชีย ใช้เครื่องยนต์และชิ้นส่วนจากโรงงาน มีการปรับแต่งเพิ่มเติมตามข้อกำหนดของการแข่งขันที่ให้มีอุปกรณ์ความปลอดภัยบนเบาะที่นั่งคนขับ และโรลบาร์ ทีมแข่งได้เปลี่ยนล้อ และยาง BF Goodrich ใหม่ให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ออฟโรด ติดบังโคลน และแผ่นโลหะกันกระแทกใต้ท้องรถ ไปจนถึงการบรรทุกยางรถยนต์สำรอง และกว้านสำหรับฉุดลากไว้ในกระบะท้าย เสริมความดุดันของภายนอกสีส้มโค้ด ออเร้นจ์ ด้วยสติกเกอร์ที่สะท้อนดีเอ็นเอของฟอร์ด เพอร์ฟอร์มานซ์ นอกจากนี้ ทีมแข่งยังใช้โช้คอัพเดิมของ FOXTM ที่ได้รับการยกระดับให้พร้อมสำหรับการแข่ง และเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรเดิม อวดศักยภาพของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ในฐานะรถกระบะที่ผลิตมาเพื่อการลงสนามแข่งออฟโรด

“ฟอร์ดรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับทีมแข่ง ฟีลลิค อินโนเวชัน มอเตอร์สปอร์ต ในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะยกระดับแบรนด์ไปอีกขั้นในวงการมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งการแข่งขันที่มีความท้าทายมากขึ้นกว่าเดิม จะเป็นเครื่องพิสูจน์สมรรถนะของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ และความสามารถของทีม เพื่อให้แฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตได้สัมผัสถึง ‘ความดุดัน’ อย่างแท้จริง” นายรัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าว

การแข่งขันเอเชีย ครอส คันทรี แรลลี นับเป็นการแข่งขันแรลลีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย จัดโดยสหพันธ์รถยนต์ระหว่างประเทศ (Fédération Internationale de l’Automobile – FIA) ราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (ร.ย.ส.ท.) และสมาคมกีฬารถจักรยานยนต์ 360 องศา ด้วยความมุ่งมั่นให้เป็นสุดยอดศึกทดสอบสมรรถนะรถยนต์ออฟโรด ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเผชิญกับการแข่งขันทั้งบนทางเรียบและพื้นที่สมบุกสมบัน ไม่ว่าจะเป็นเนินสูงชัน แอ่งน้ำ พื้นทราย เรือกสวนไร่นา ไปจนถึงทางลาดยาง และยังต้องวัดใจกับสภาพอากาศอันแปรปรวนในแต่ละพื้นที่ขอทวีปเอเชีย ซึ่งจะพิสูจน์ทักษะการขับขี่ของนักแข่ง การปรับแต่งเครื่องยนต์ของวิศวกร ไปจนถึงสมรรถนะของรถแข่ง

หมวดหมู่
Car Review Lormhuntuathai New Cars News

SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID กระแสแรงตอบรับแคมเปญราคาพิเศษ ดันยอดขายโต 3 เท่ายืนยัน MPV คุ้มค่า ทนทาน ครบครันซื้อวันนี้ ขับฟรี 90 วัน หรือผ่อนเริ่มต้น 4,999 บาท

11 กรกฏาคม 2566-กรุงเทพมหานคร-บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยกระแสตอบรับลูกค้าดีต่อเนื่อง หลังมอบแคมเปญพิเศษ ซื้อรถยนต์ SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID รับส่วนลดสูงสุด 84,000 บาท
ตอกย้ำความเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มอบความคุ้มค่าในราคาที่เหมาะสม ด้วยรถยนต์คุณภาพดี ทนทาน ดูแลรักษาง่าย ใช้งานได้อย่างครบครัน และงานบริการหลังการขายที่มีเครือข่ายผู้จำหน่ายครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศไทย


นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจาก ซูซูกิได้มอบแคมเปญสุดพิเศษให้กับลูกค้า ที่มีความสนใจและต้องการเป็นเจ้าของ“SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID -The Power of Smart เต็มที่ทุกฟังก์ชัน เต็มพลังสมาร์ทไฮบริด” รถอเนกประสงค์ ขนาด 7
ที่นั่ง ด้วยการมอบส่วนลดสูงสุด 84,000 บาท ส่งผลให้สามารถจำหน่ายในราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 699,000 บาท นั้น ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า ส่งผลให้มียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบจากเดือนที่ผ่านมามากถึง 3 เท่า “จากแคมเปญพิเศษทางด้านราคาที่เรานำเสนอผสานเข้ากับข้อเสนอพิเศษอื่นๆ เช่น ขับฟรี 90 วัน หรือผ่อนได้นานสูงสุดถึง 99 เดือน นั้น ส่งผลให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของ SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID ได้ง่ายมากขึ้น
เพิ่มความเป็นรถอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าในราคาที่เหมาะสมมากที่สุดในท้องตลาดเวลานี้ อีกทั้งยังเป็นความตั้งใจที่ต้องการให้ลูกค้าได้ลองสัมผัสกับความทันสมัยของเทคโนโลยี Smart Hybrid ของซูซูกิ ซึ่งนอกจากจะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ยังเพิ่มกำลังให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังบำรุงรักษาง่ายอีกด้วย”
ทั้งนี้ ด้วยเทคโนโลยี SMART HYBRID VEHICLE หรือ SHVS มีมอเตอร์ไฟฟ้า Integrated Starter Generator หรือ ISG

ซึ่งเปรียบดั่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่เข้าไปมีส่วนช่วยการทำงานของเครื่องยนต์ในหลายด้าน มาพร้อมกับแบตเตอรี่ Lithium-ION ที่มีน้ำหนักเบา มีขนาดกะทัดรัดและประหยัดพลังงาน ผสานการทำงานเข้ากับเครื่องยนต์เบนซินขนาด
1.5 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ นอกจากจะประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 17.9 กิโลเมตรต่อลิตร ยังเสริมประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนอย่างนุ่มนวล โดยไม่มีเสียงรบกวนขณะที่รถยนต์เริ่มออกตัว ซึ่งมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 134 กรัม/กิโลเมตร การบำรุงรักษาง่ายไม่แตกต่างจากรถเครื่องยนต์เบนซิน ใช้งานได้อย่างไร้กังวล เพราะรับประกันอายุแบตเตอรี่นานถึง 5 ปี สำหรับ SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID คือหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของซูซูกิที่ผู้บริโภคทั่วประเทศมอบความไว้วางใจในการใช้งาน ซึ่งนอกจากการเป็นรถอเนกประสงค์ขนาด 7 ที่นั่ง ที่มอบความคุ้มค่าผ่านการใช้งานในทุกพื้นที่ใช้สอย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ แล้วนั้น จุดเด่นสำคัญของรถรุ่นนี้คือ
การดูแลรักษาง่าย และค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นรถที่มีความทนทาน ใช้งานได้อย่างมั่นใจ เหมาะกับสภาพถนนและสภาพแวดล้อมในบ้านเราได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น สิ่งที่เพิ่มความไว้วางใจให้ลูกค้าเลือกเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ซูซูกิ ส่วนหนึ่งมาจากการมอบบริการที่ดีที่สุดจากผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) และผู้จำหน่ายทุกรายร่วมผนึกกำลังในการปรับปรุงและพัฒนางานบริการไปในทิศทางเ
ดียวกัน มุ่งหวังยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานในทุกด้าน โดยศูนย์บริการทุกแห่งของซูซูกิ ดำเนินงานภายใต้แนวคิด 3S คือ Sale – Service -Spare parts นั่นคือการแนะนำสินค้าอย่างเป็นธรรม ควบคู่ไปกับการบริการอันประทับใจ และงานบริการหลังการขายที่ดูแลอย่างทั่วถึง ตอบรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันใจ ซึ่งทุกโชว์รูมนั้นมั่นใจได้ว่ามีคุณภาพและการบริการเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ สอดรับกับโครงการ “SUZUKI Cause We Care – เหนือกว่าความใส่ใจคือความเข้าใจทุกความต้องการ”โดยนอกเหนือจากความต้องการที่จะสื่อสารกับลูกค้าทั้งด้านสินค้าและงานบริการได้อย่างทันท่วงทีและมอบบริการที่ดีเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าทุกท่าน ซูซูกิยังมีความตั้งใจจริงที่ต้องการจะสร้างให้ซูซูกิเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อถือและไว้วางใจเดินคู่เคียงข้างคนไทยต่อไปในอนาคต

อีกทั้งยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและช่วยเหลือสังคมมาอ
ย่างต่อเนื่อง ผ่านการจัดกิจกรรมและโครงการต่างๆ เพื่อสร้างสังคมแห่งความสุขที่ยั่งยืน
ด้วยการตอบรับอันดี ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย)
จึงยังตอกย้ำแนวทางการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม
ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ! สำหรับลูกค้าที่ต้องการเป็นเจ้าของ SUZUKI ERTIGA
SMART HYBRID -The Power of Smart เต็มที่ทุกฟังก์ชัน เต็มพลังสมาร์ทไฮบริด”
รถอเนกประสงค์ ขนาด 7 ที่นั่ง ซึ่งมอบความคุ้มค่า
คุ้มราคาที่สุดในตลาดรถอเนกประสงค์เวลานี้
ด้วยโปรโมชั่นที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น คือ
● ซื้อรถวันนี้ ขับฟรี 90 วัน
● หรือ ผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 4,999 บาท
● หรือ ผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน
● ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3
ปี
SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID เกียร์อัตโนมัติ มีสีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีแดง
Mellow Deep Red สีเทา (Metallic Magna Gray) สีดำ (Cool Black Metallic) และ
สีขาว (Pearl Snow White) โดยมีราคาพิเศษ แบ่งเป็น 2 รุ่น คือ
รุ่น ราคารถ (บาท) ราคาพิเศษหลังหักส่ว
นลด (บาท)

หมายเหตุ
GL 783,000 699,000 สีขาวเพิ่ม 5,000 บาท
GX 839,000 765,000 สีขาวเพิ่ม 5,000 บาท
ซึ่ง SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID
ราคาพิเศษนี้มอบให้กับลูกค้าที่จองและรับรถตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลิตภัณฑ์ของซูซูกิทุกรุ่นตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างตรงใจและหลากหลาย เรามีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทั้งตัวสินค้าและงานบริการในทุกด้านให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งเรายังมีผู้จำหน่ายที่เข้มแข็งพร้อมจะพัฒนาและเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน รวมถึงการมีพันธมิตรเป็นสถาบันการเงิน ภายใต้เงื่อนไขตามที่บริษัทฯ กำหนดเข้ามาในช่วยเรื่องการอนุมัติสินเชื่อให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถยนต์ซูซูกิได้สะดวก
ยิ่งขึ้น สำหรับลูกค้าท่านที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศกว่า 117 แห่ง

ช่องทางการติดต่อ
http://www.suzuki.co.th
http://www.facebook.com/officialsuzukimotorthailand
SUZUKI Cause We Care: 1800-600-900

หมวดหมู่
Car Review Lormhuntuathai New Innovation News

ฟูจิฟิล์ม เดินหน้าโชว์นวัตกรรมตรวจวินิจฉัยไข้เลือดออกตั้งแต่ระยะเริ่มแรก

ในงาน ASEAN DENGUE DAY 2023”

พบสถิติคนไทยป่วยเป็นไข้เลือดออกมากกว่า18,000 ราย ชี้ยอดพุ่งสูงกว่าปีก่อนถึง 4.2 เท่า
ฟูจิฟิล์มประกาศร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสู่  
Zero Dengue Death ให้คนไทยไม่ป่วยตายด้วยไข้เลือดออก

กรุงเทพฯ 12 มิถุนายน 2566 — บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำวิสัยทัศน์ที่จะไม่หยุดยั้งสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาทางสังคมและช่วยสร้างสังคมที่ยั่งยืนเพื่อสุขภาวะที่ดีขึ้นของผู้คนในโลก ล่าสุดร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมที่ไม่ป่วยตายด้วยไข้เลือดออก เดินหน้าโชว์นวัตกรรมชุดตรวจหาไข้เลือดออกที่มีความไวสูงด้วยเทคโนโลยี Silver Amplification ที่ช่วยในการตรวจวินิจฉัยไข้เลือดออกตั้งแต่ระยะเริ่มแรกเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต และสร้างสุขภาวะที่ดีให้คนไทย ในงาน ASEAN DENGUE DAY 2023” จัดโดยกรมควบคุมโรค ร่วมกับบริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Moving Forward to Zero Dengue Death – ก้าวสู่สังคมไทย ไม่ป่วยตายด้วยไข้เลือดออก” โดยมีหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมประกาศเดินหน้าต้านภัยไข้เลือดออก มุ่งเน้นสร้างการรับรู้และรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงการป้องกันโรคไข้เลือดออก เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตในอนาคต

โดยตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2566 ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยสูงถึง 18,173 ราย และมีผู้เสียชีวิต 15 ราย ซึ่งมีอัตราผู้ป่วยมากกว่าปีที่แล้วถึง 4.2 เท่า โดยมีการระบาดสูงที่สุดในรอบ 3 ปี พบอัตราป่วยสูงสุดคือกรุงเทพฯ ภาคใต้ และภาคกลาง โดยนักเรียนอายุ 5-14 ปี ป่วยเป็นไข้เลือดออกสูงสุด รองลงมาคือกลุ่มอายุระหว่าง 15-24 ปี เฉลี่ยมีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสัปดาห์ละ 900 รายและเสียชีวิตสัปดาห์ละ 1 ราย

มร. โซ มารูโอะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ แต่ยังคงพบผู้เสียชีวิตในประเทศไทย ทางฟูจิฟิล์มจึงเล็งเห็นความสำคัญของการรณรงค์เพื่อให้คนในสังคมได้ตระหนักถึงความรุนแรงของโรค ตลอดจนความสำคัญของการป้องกันเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการเกิดโรค ขณะเดียวกันฟูจิฟิล์ม ในฐานะผู้นำด้านการใช้นวัตกรรมล้ำสมัยที่เป็นกรรมสิทธิ์ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม พร้อมเดินหน้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนให้คนไทยและทั่วโลกมีสุขภาวะที่ดีขึ้น เราจึงไม่หยุดนิ่งในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ล่าสุดเรานำเสนอนวัตกรรมชุดตรวจที่มีความไวและความแม่นยำสูงด้วยเทคโนโลยี Silver Amplification โซลูชันของเราพัฒนาขึ้นจากองค์ความรู้ด้านภาพถ่ายเพื่อช่วยตรวจวินิจฉัยไข้เลือดออกตั้งแต่ระยะเริ่มแรกเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง”

สำหรับนวัตกรรม Rapid Test ชุดตรวจที่มีความไวสูงที่ฟูจิฟิล์มได้นำมาโชว์ศักยภาพในงาน ASEAN DENGUE DAY 2023” ถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการวินิจฉัยเชื้อไข้เลือดออก ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Silver Amplification นำเสนอโซลูชันชุดทดสอบแบบ Point of Care (POC) Antigen Test ใช้งานสะดวกทุกที่ทุกเวลา ช่วยวินิจฉัยได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ด้วยวิธีตรวจที่สะดวก ง่าย สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหรืออาศัยเครื่องมือพิเศษอื่นๆ สามารถรู้ผลภายใน 15-20 นาที จึงช่วยให้แพทย์ตรวจพบผู้ป่วยไข้เลือดออกได้เร็วและแม่นยำมากขึ้นได้ สอดคล้องกับเป้าหมายในการลดการป่วยและการตายจากโรคไข้เลือดออกให้แก่ผู้คนในวงกว้าง ช่วยขับเคลื่อนการตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การมอบผลการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ลดค่าใช้จ่ายในการตรวจด้วยชุดอุปกรณ์ตรวจที่ใช้ง่ายสำหรับทุกคน

“ปัจจุบันเครื่องมือดังกล่าวผ่านการทดลองใช้ในกลุ่มผู้ป่วย พบว่าสามารถช่วยทีมแพทย์ในการตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาได้เร็วขึ้น ช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิต สอดคล้องกับเป้าหมายหลักที่ทางฟูจิฟิล์มให้ความสำคัญเสมอมา ในฐานะองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ฟูจิฟิล์มมุ่งมั่นอย่างจริงจังที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสังคมของประเทศไทย โดยเฉพาะปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คนในวงกว้างอย่างเช่นโรคไข้เลือดออกที่คร่าชีวิตคนไทยทุกปี ดังนั้นฟูจิฟิล์มหวังว่าเครื่องมือนี้จะช่วยยกระดับวงการแพทย์ของไทยเพื่อช่วยให้คนไทยมีสุขภาวะที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ ๆ คืนกลับสู่สังคมอย่างเป็นรูปธรรม” มร. โซ มารูโอะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวสรุป

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เสริมทัพรถยนต์ 2 รุ่นใหม่เพิ่มความแข็งแกร่งใน 2 เซกเมนต์ลักชัวรี

กับการเปิดตัว C-Class ใหม่เวอร์ชันปลั๊กอินไฮบริด พร้อมด้วย Vito รถตู้พรีเมียมรุ่นใหม่ล่าสุด

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด รุกสองเซกเมนต์ในตลาดรถยนต์ลักชัวรีพร้อมกันด้วยการเปิดตัว “Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic” เวอร์ชันใหม่แบบปลั๊กอินไฮบริดของ The new C-Class โฉมปัจจุบันที่ถูกใจแฟนเมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นใหม่มาอย่างต่อเนื่อง และ “Mercedes-Benz Vito 119 CDI Tourer Select” รถตู้อเนกประสงค์สำหรับผู้บริหารยังเจนที่ตอบทุกโจทย์การใช้งานทั้งในวันทำงานและวันหยุด โดยทั้งสองรุ่นมีวางจำหน่ายที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

มร. โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “หลังจากที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้แนะนำ The new Mercedes-Benz C-Class รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลออกมาเป็นคันแรกในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และได้รับเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมเช่นเคย วันนี้เราพร้อมแล้วที่จะนำเสนออีกหนึ่งเวอร์ชันใหม่ของรถยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดรุ่นหนึ่งของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทยคันนี้ กับ Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic รุ่นปลั๊กอินไฮบริดใหม่ที่ผสานขุมพลังเบนซินกับพลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เจเนอเรชันที่ 4 ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจในทุกสภาพถนน ทั้งยังประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะผู้ขับขี่สามารถเลือกขับด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 100 กิโลเมตร เท่านั้นยังไม่พอ วันนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยัง  ขอแนะนำ Mercedes-Benz Vito 119 CDI Tourer Select ใหม่ ที่สุดแห่งความหรูหราในแบบฉบับอเนกประสงค์ของรถตู้ระดับพรีเมียมจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่สามารถจุผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 11 ที่นั่ง ตอบโจทย์ทั้งสำหรับผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ต้องการความกว้างขวางสะดวกสบายในวันทำงาน และการเป็นรถยนต์สำหรับการใช้งานได้อีกหลายรูปแบบในวันหยุดหรือในทุกวันที่ต้องการ การเปิดตัวรถยนต์ทั้งสองรุ่นในวันนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์มั่นใจว่า จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ารุ่นใหม่ที่สัมผัสได้ถึงจุดเด่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขา และช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในทั้งสองเซกเมนต์ในตลาดรถยนต์ลักชัวรีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น”

“Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic” คือรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ในรุ่น C-Class ที่มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่สุดเร้าใจ ด้วยขุมพลังของเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1,999 ซีซี ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่อาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด 25.4 kWh ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เป็น เจเนอเรชันที่ 4 ให้กำลังสูงสุด 313 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร โดยรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดคันนี้สามารถขับขี่ด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 100 กิโลเมตร และทำความเร็วสูงสุดจากการขับขี่ด้วยพลังไฟฟ้าได้ถึง 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในการชาร์จพลังงานไฟฟ้า หากเป็นการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC charger) จะใช้เวลาเพียง 30 นาทีก็สามารถชาร์จได้เต็ม 100% ส่วนการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC charger) จะใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง ซึ่งด้วยความสะดวกในการเลือกใช้งานได้ทั้งสองระบบ ประกอบกับการชาร์จพลังไฟฟ้าด้วยเวลาไม่นาน หากเป็นการขับขี่ภายในเมือง ผู้ใช้สามารถใช้รถยนต์คันนี้ได้อย่างสะดวกสบายด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว

รถยนต์คันนี้มาพร้อมรายละเอียดของการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ด้วยดีไซน์ใหม่ในคอนเซ็ปต์ Sensual Purity ที่ให้สัมผัสที่ผสมผสานระหว่างความสปอร์ตและความหรูหรา ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์แบบสปอร์ตและขนาดตัวรถที่กว้างขึ้นในทุกมิติ จึงช่วยมอบความสะดวกสบายในการเดินทางมากยิ่งขึ้น ส่วนดีไซน์ภายในก้าวไปอีกขั้นกับการตกแต่งที่ถอดแบบมาจากรุ่น S-Class ทั้งหน้าจอ LCD ความละเอียดสูง การปรับรูปแบบการแสดงผลได้ 3 แบบ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านหุ้มด้วยหนัง คอนโซลกลางดีไซน์ใหม่พร้อม จอสัมผัสแนวตั้งขนาดใหญ่ 11.9 นิ้วที่เบี่ยงเป็นมุมเฉียงมายังผู้ขับขี่เล็กน้อย ทั้งยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยและมาตรฐานของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ได้รับการยกระดับขึ้นอีกขั้น

Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic วางจำหน่ายในราคา 3,350,000 บาท

“Mercedes-Benz Vito 119 CDI Tourer Select” ใหม่คือรถยนต์นั่งขนาด 11 ที่นั่งระดับพรีเมียมที่พร้อมตอบทุกช่วงเวลาแห่งความสุขของทุกคนในทุกเส้นทาง ด้วยขุมพลังของเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ ขนาด 1,950 ซีซี เจเนอเรชันล่าสุดที่ให้กำลังมากขึ้นทว่าให้อัตราสิ้นเปลืองที่ลดลง ขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic มอบอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงที่ 9.6 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 205 กิโลเมตร/ชั่วโมง Mercedes-Benz Vito ใหม่นำเสนอดีไซน์ภายนอกที่มีความโดดเด่นในทุกเส้นทาง ด้วยกระจังหน้าโครเมียมกับไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light และล้ออัลลอย Multispoke ขนาด 17 นิ้ว พร้อมประตูบานเลื่อนซ้าย-ขวาที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า ควบคุมการเปิด-ปิดด้วยรีโมทคอนโทรล ดีไซน์ภายในมีเอกลักษณ์กับห้องโดยสารกว้างขวางที่พร้อมเชื่อมต่อให้ทุกการทำงานของคุณลื่นไหลไม่มีสะดุด พร้อมความสะดวกสบายยิ่งขึ้นกับระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติภายในห้องโดยสาร (Thermotronic) ขับเคลื่อนความสุขและความสัมพันธ์ที่แนบแน่นของทุกคนได้ตลอดการเดินทาง 

Mercedes-Benz Vito 119 CDI Tourer Select วางจำหน่ายในราคา 3,100,000 บาท

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

มาเซราติ ‘โปรเจ็กต์24’ขีดสุดแห่งความแรงบนสนามแข่ง

27 กรกฎาคม 2565 – มาเซราติ เปิดตัว ‘โปรเจ็กต์24’ (Project24) ฝูงรถแข่งพลังแรง ผลิตจำกัด 62 คัน ยกระดับความเร้าใจบนสนามแข่ง ตอกย้ำประสิทธิภาพไร้ขีดจำกัดของแบรนด์ดังจากอิตาลี รถแข่งพลังแรงใช้พื้นฐานจาก มาเซราติ เอ็มซี20 (MC20) พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพให้เครื่องยนต์เบนซิน วี6 สูบ ‘เน็ททูโน’ (Nettuno) ด้วยเทอร์โบขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้มีกำลังสูงถึง 740 แรงม้า ผสานนวัตกรรมของระบบกันสะเทือน, ระบบเบรกคาร์บอน-เซรามิกและยางที่ใช้สำหรับการแข่งโดยเฉพาะ พร้อมติดตั้งระบบความปลอดภัยที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก เอฟไอเอ (FIA) ความเบา นับเป็นปัจจัยที่ มาเซราติ ให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยตั้งเป้าให้รถคันนี้ มีน้ำหนักต่ำกว่า 1,250 กิโลกรัม เมื่อรวมกับพละกำลังอันมหาศาล
ส่งผลให้มีอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักดีเยี่ยม คือ 1.69 กิโลกรัม/แรงม้า มาเซราติ ‘โปรเจ็กต์24’ มีรูปลักษณ์โดดเด่นสะดุดตา ผลงานการออกแบบจาก Centro Stile Maserati ที่รังสรรค์เส้นสายอันงดงาม ผสานประสิทธิภาพแบบรถแข่งพันธุ์แท้ ส่งผลให้เป็นยนตรกรรมที่ชวนให้เหล่านักสะสมถวิลหา
มาเซราติ ‘โปรเจ็กต์24’ จึงนับเป็นสัญลักษณ์แห่งความเอ็กซ์คลูซีฟ นำเสนอหลากหลายบริการ
สุดพิเศษสำหรับผู้ครอบครอง อาทิ ประสบการณ์สุดเร้าใจบนสนามแข่ง พร้อมการดูแลอย่างดีที่สุด
โดยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ ข้อมูลเชิงเทคนิค มาเซราติ ‘โปรเจ็กต์24’


ลักษณะรถ
• 2 ที่นั่ง สำหรับใช้บนสนามแข่งเท่านั้น
• ออกแบบจาก Maserati Centro Stile design
• กว้างxสูง 2,020* x 1,220* มม.
• น้ำหนักรถเปล่า ต่ำกว่า 1,250 กก.
คุณสมบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของ เอฟไอเอ (FIA)
• ถังเชื้อเพลิง FIA-homologated FT3 ความจุ 120 ลิตร
• ถังดับเพลิง FIA-spec
• โรลเคจผ่านมาตรฐานเอฟไอเอ
เครื่องยนต์
• มาเซราติ เน็ททูโน (Nettuno)
• เบนซินทวินเทอร์โบ วี6 สูบ 90 องศา
• ความจุ 3.0 ลิตร

PR-R-270722-071

• 740 แรงม้า (HP)
• ระบบจุดระเบิด Maserati Twin Combustion (MTC) Twin Spark with TJI double
combustion control
• อ่างน้ำมันเครื่องแบบแห้ง (Dry Sump)
ระบบส่งกำลัง
• เกียร์ซีเควนเชียล 6 จังหวะ พร้อมแพดเดิลชิฟท์ สำหรับใช้แข่ง, ขับเคลื่อนล้อหลัง
• คลัตช์สำหรับใช้แข่ง พร้อมเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปแบบกลไก
ตัวถัง
• โครงสร้างตัวถังคาร์บอน-ไฟเบอร์ ผสานชิ้นส่วนคาร์บอนไม่พ่นสี
• แอโรไดนามิกส์ประสิทธิภาพสูง
• สปอยเลอร์หน้า-หลังปรับได้หลายระดับ
• สร้างแรงกดได้สูง
• ไฟหน้าแอลอีดี
• ไฟส่องสว่างขณะฝนตก มาตรฐานเอฟไอเอ
• กระจกหน้าและข้าง ผลิตจากโพลีคาร์บอเนต Lexan
แชสซีส์
• โมโนค็อกคาร์บอน-ไฟเบอร์เบาพิเศษ
• ติดตั้งแจ็คลมยกรถอัตโนมัติ
เบรก
• คาลิเปอร์เบรก สำหรับใช้แข่ง
• จานเบรกพร้อมช่องระบายความร้อน เบรมโบ (Brembo) CCMR
• ระบบระบายความร้อนเบรกแบบพิเศษ
ล้อและยาง
• ล้อแม็กอะลูมิเนียมฟอร์จขอบ 18 นิ้ว
• น็อตล้อแบบเซ็นเตอร์ล็อก
• ยางสลิก
ระบบกันสะเทือน
• ดับเบิล-วิชโบน พร้อมแกนพวงมาลัยแบบ semi-virtual
• โช้กอัพปรับความหนืดได้
• เหล็กกันโคลงหน้า-หลังปรับได้
ห้องโดยสาร
• บักเก็ตซีตสำหรับใช้แข่ง (เบาะผู้โดยสารเป็นออปชั่น)
• ชุดแป้นเหยียบปรับระดับได้
• พวงมาลัยปรับระดับได้
• เข็มขัดนิรภัย 6 ตำแหน่ง
• พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น วัสดุคาร์บอน-ไฟเบอร์
• จอแสดงผลบนพวงมาลัย
• กล้องมองหลัง (ออปชั่น)

• ระบบบันทึกสถานะต่างๆ ของรถ (ออปชั่น)
• กล้องบันทึกวีดิโอภายในห้องโดยสาร (ออปชั่น)
• ระบบเก็บข้อมูลการขับ
• จอแสดงประสิทธิภาพการขับ (ออปชั่น)
• ระบบปรับอากาศ
• ระบบตรวจสอบแรงดันลมยางอัตโนมัติ (ออปชั่น)
• ระบบเบรกเอบีเอส (ABS) ปรับระดับได้ พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี
*ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างการพัฒนา
เกี่ยวกับมาเซราติ เอส.พี.เอ.
มาเซราติ คือ ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่นด้วยสไตล์, เทคโนโลยีล้ำสมัย
และตัวตนที่ไม่ซ้ำใคร สะท้อนความเฉลียวฉลาด รสนิยมอันลุ่มลึก สะท้อนมาตรฐานแห่งการเป็น
ยนตรกรรมระดับโลก และด้วยความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ในแต่ละเซกเมนต์ มาเซราติ ได้กำหนด
นิยามใหม่ ให้กับรถสปอร์ตของอิตาลี ในแง่ของการออกแบบ, ประสิทธิภาพ, ความสะดวกสบาย,
ความสง่างาม และความปลอดภัย ปัจจุบันมีจำหน่ายในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก
มาเซราติ ควอตโตรปอร์เต้ (Quattroporte) นับเป็นยนตรกรรมเรือธงของค่ายตรีศูล สมทบด้วยรุ่น
กิบลี่ (Ghibli), เลอวานเต้ (Levante) เอสยูวีรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ และ เกรคาเล่
(Grecale) ซึ่งเป็นเอสยูวีที่มาพร้อมแนวคิด ‘Everyday Exceptional’
ทุกรุ่นต่างโดดเด่นด้วยการใช้วัสดุที่มีคุณภาพชั้นสูง และการออกแบบทางเทคนิคอันยอดเยี่ยม
มาเซราติ กิบลี่, เลอวานเต้ และเกรคาเล่ มีหลายทางเลือกขุมพลัง อาทิ เบนซินไฮบริด 4 สูบ, เบนซิน
วี6 สูบ ไปจนถึงเบนซิน วี8 สูบ ทั้งในแบบขับเคลื่อนล้อหลังหรือขับเคลิ่อน 4 ล้อ
โดยมาพร้อมดีเอ็นเออันเป็นเอกลักษณ์ของยนตรกรรมค่ายตรีศูล ขณะที่รุ่นสูงสุด คือ
ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ เอ็มซี20 (MC20) และ เอ็มซี20 แชร์โล (Cielo) ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์
เน็ททูโน (Nettuno) ที่ได้นำเทคโนโลยีจากรถแข่งฟอร์มูลาวัน
มาใช้กับยนตรกรรมในสายการผลิตเป็นครั้งแรก
ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ: มาเซราติ ประเทศไทย
โชว์รูมสุขุมวิท 26 โทร. 02-663-2233
โชว์รูมสยามพารากอน โทร. 02-610-9441
โชว์รูมไอคอนสยาม 02-117-4666
เว็บไซต์: http://Thailand.Maserati.com/
เฟสบุ๊ค: Maserati Thailand
อินสตาแกรม: Maserati Thailand

หมวดหมู่
Car Review Cars Accessories Lormhuntuathai New Innovation News

SUZUKI CARRY ตอกย้ำความอเนกประสงค์ ชูแนวคิด “SUZUKI CARRY CAMPINESS” ตอบรับไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยวและทำงานแบบรถบ้าน แคมเปญพิเศษ ผ่อนเริ่มต้นเพียง 7,777 บาท

18 เมษายน 2565-กรุงเทพมหานคร-บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำบทบาทผู้นำรถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์ขนาดเล็ก เดินหน้าสานต่อไอเดีย Suzuki Carry Campiness จากการนำ SUZUKI CARRY มาดัดแปลงเป็นรถบ้าน หรือ Motor Home เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ใหม่ Work from anywhere พร้อมเสนอแคมเปญพิเศษ ผ่อนเริ่มต้นเพียง 7,777 บาท


นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซูซูกินำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมากมายหลายรุ่นแก่ผู้บริโภค ซึ่งล้วนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความไว้วางใจในการเลือกไปใช้งานมาอย่างยาวนาน คือ SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์ ที่นับตั้งแต่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2006 ก่อนจะแนะนำ SUZUKI CARRY เจเนอเรชั่นที่ 2 ออกมาเมื่อปี 2019 จนสามารถสร้างยอดขายรวมไปได้มากถึง 56,073 คัน โดยในปี 2021 ที่ผ่านมามียอดขายเติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 19%
ด้วยความอเนกประสงค์ของ SUZUKI CARRY ที่สามารถนำไปดัดแปลงและตกแต่งเพื่อใช้งานได้อย่างหลากหลาย จึงทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของกลุ่มธุรกิจ Food Truck และเริ่มขยายไปสู่กลุ่มธุรกิจ SME อื่นมากขึ้นไปจนกระทั่งการพัฒนาไปสู่การดัดแปลงเป็นรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย” (SUZUKI CARRY Biosafety Mobile Unit) หรือ รถตรวจโควิด รวมถึงการปรับเปลี่ยนเป็นรถส่งผู้ป่วยโควิด-19 กลับภูมิลำเนา ในโครงการ Suzuki Carry You Home ที่ซูซูกิร่วมมือกับพันธมิตรที่ทำออกมาเพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือสังคม ภายใต้แนวคิดการดำเนินธุรกิจ “SUZUKI Cause We Care”

ล่าสุดได้ทำการพัฒนาไปอีกขั้นเพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ด้วยการนำ SUZUKI CARRY มาดัดแปลงเป็น Motor Home หรือ รถบ้าน ในราคาเพียงหลักแสน เนื่องจากเทรนด์การท่องเที่ยวแบบแคมป์ปิ้งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในยุค New Normal ที่ผู้คนอยากท่องเที่ยวแบบเป็นส่วนตัวและใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น การขับรถบ้านท่องเที่ยวจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจชนิดหนึ่ง ซูซูกิ จึงอยากนำเสนอไอเดียใหม่ที่ลูกค้าสามารถออกแบบการเดินทางพักผ่อนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งหลังจากนำรุ่นต้นแบบมาจัดแสดงภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 ที่ผ่านมา ผู้บริโภคล้วนให้การตอบรับและมีความสนใจที่อยากจะเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ซูซูกิจึงเตรียมสานต่อแนวคิด Suzuki Carry Campiness ตอบรับไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวแบบใหม่ไปกับ SUZUKI CARRY ที่พร้อมให้คุณสามารถออกแบบชีวิตการเดินได้ด้วยตนเอง โดยปัจจุบันผู้บริโภคเลือกที่จะทำรถบ้านหรือ Motor Home
เพื่อให้ชีวิตพร้อมออกเดินทางไปท่องเที่ยวในสไตล์ของตนเอง แต่ก็ยังสามารถทำงานนอกสถานที่ในแบบ “Work from anywhere” ได้ซึ่งนับว่าสอดรับกับวิถีชีวิตแบบใหม่หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ได้เป็นอย่างดี SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์ขนาดเล็ก ถูกออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ที่พร้อมจะนำไปดัดแปลงและพัฒนาต่อยอดให้เข้ากับทุกแนวทางของการดำเนินชีวิต ด้วยมิติตัวรถมีขนาดความยาว 4,195 มม. ความกว้าง 1,765 มม. และความสูง 1,910 มม. กระบะบรรทุกแบบเรียบ เพิ่มความกว้างและความยาวของพื้นที่บรรทุกอยู่ที่ 1,670 มม. และ 2,450 มม. สามารถเปิดได้ทั้ง 3 ด้าน ขนถ่ายสัมภาระได้สะดวกและรองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบรับน้ำหนักบรรทุกสูงสุดถึง 945 กิโลกรัม จึงสามารถออกแบบให้มีดีไซน์เป็นรถบ้านได้โดยง่าย รองรับการเดินทางท่องเที่ยวตามแบบฉบับของคุณที่ไม่เหมือนใคร
พร้อมมอบความมั่นใจและปลอดภัยในทุกการเดินทางด้วย ระบบเครื่องยนต์เบนซิน K15B ประหยัดน้ำมัน ขับขี่มั่นใจด้วยระบบเบรก ABS รวมถึงติดตั้งระบบ Engine Drag Control ทำหน้าที่รักษาความเร็วของล้อหน้าและล้อหลังให้สมดุลกัน ช่วยป้องกันรถไม่เกิดการลื่นไถล เพื่อให้สามารถควบคุมรถได้อย่างมั่นคง

อีกทั้งวงเลี้ยวแคบสุดเพียง 4.4 เมตร เพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ เหมาะกับใช้งานในพื้นที่ที่มีเงื่อนไขจำกัดได้เป็นอย่างดี ด้วยราคาจำหน่ายเพียง 385,000 บาท (ราคานี้ยังไม่รวมอุปกรณ์ตกแต่ง) แม้ SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์เพื่อการพาณิชย์ขนาดย่อม จะถูกจดจำในฐานะ “Food Truck” มายาวนานมากกว่า 10 ปี ธุรกิจติดล้อที่ใช้การตลาดเชิงรุกในการเข้าหาผู้บริโภคจนกลายเป็นขวัญใจผู้ประกอบกา
รที่ต้องการอิสระในการเดินตามความฝันและต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ด้วยแนวคิด “Carry Your Dream เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน ”ยังคงเป็นดีเอ็นเอที่ชัดเจนของ SUZUKI CARRY เพราะไม่ว่าความฝันของคุณจะเป็นอย่างไร หรืออยู่ท่ามกลางวิกฤตการณ์แบบไหน SUZUKI CARRY ก็พร้อมจะเป็นยานพาหนะที่อยู่เคียงข้างร่วมฝ่าวิกฤตในทุกสถานการณ์ ซึ่งในการพัฒนารูปแบบให้สามารถรองรับการเป็นรถบ้าน จึงตอกย้ำได้อย่างชัดเจนว่า SUZUKI CARRY เป็นได้มากกว่ารถขนสินค้าหรือสัมภาระแต่เปรียบเสมือนดั่งพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ที่พร้อมจะสนับสนุนและร่วมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการด้วยความจริงใจ เดินหน้าไปสู่จุดหมายและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน Suzuki Carry Campiness พร้อมให้คุณทลายทุกข้อจำกัดสามารถเดินทางไปในเส้นทางที่ออกแบบได้ด้วยตัวเอง ด้วยการเลือกดีไซน์และตกแต่งรถบ้านให้รองรับกับความต้องการและเหมาะสมกับการออกไปใช้ชีวิตได้อย่างแตกต่าง เพิ่มเสริมอุปกรณ์ตกแต่งต่างๆ ได้แบบ Tailor Made โดยลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดแคมเปญพิเศษได้ที่โชว์รูมรถยนต์ซู
ซูกิทั่วประเทศ เรามีที่ปรึกษาการขายพร้อมบริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการออกแบบและตกแต่ง
SUZUKI CARRY นอกจากนั้น ซูซูกิยังได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินชั้นนำเข้ามาร่วมเป็น Suzuki Exclusive Leasing พร้อมทีมงานคอยให้คำปรึกษาทางด้านสินเชื่อเพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลเรื่องภาระค่าใช้จ่ายให้ใครก็สามารถเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้ได้โดยง่าย พร้อมสานความฝันการเดินทางของคุณ ด้วยโปรแกรมดาวน์ 25% การผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 7,777 บาท (ราคาบวกรวมอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่า 150,000 บาท) ทั้งนี้ การพิจารณาสินเชื่อและการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไขของสถาบันการเงินที่เข้าร่วม ราคาอุปกรณ์ตกแต่งขึ้นอยู่กับการตกลงแบบและวัสดุอุปกรณ์ขั้นสุดท้าย

โดยลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิกว่า 127
แห่งทั่วประเทศ
ช่องทางการติดต่อ
http://www.suzuki.co.th
http://www.facebook.com/officialsuzukimotorthailand
SUZUKI Cause We Care: 1800-600-900

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

‘The Legend Is Back’ เบลฟอร์ต ออโตโมบิล (ประเทศไทย) คว้าสิทธิ์การเป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายรถยนต์ Jeep อย่างเป็นทางการในประเทศไทย

กรุงเทพฯ, 28 กุมภาพันธ์ 2565 – บริษัท เบลฟอร์ต ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการแต่งตั้งจากกลุ่ม สเตลแลนทิส (Stellantis) ผู้ผลิตรถยนต์ระดับแนวหน้าของโลก ให้เป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายรถยนต์ จี๊ป (Jeep) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย พิธีลงนามถูกจัดขึ้นที่ ‘บ้านปาร์คนายเลิศ’ ถนนวิทยุ โดยได้รับเกียรติจาก อุปฑูตรักษาการแทนเอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ไมเคิล ฮีธ ร่วมเป็นสักขีพยาน

มร. คาร์ล สไมลีย์, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ, อินเดียและเอเชียแปซิฟิก, สเตลแลนทิส กล่าวว่า “การแต่งตั้ง เบลฟอร์ต ออโตโมบิลฯ ให้เป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายรถยนต์ จี๊ป อย่างเป็นทางการในประเทศไทย นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการทำตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นโอกาสใหม่ทางธุรกิจ และเป็นอาณาเขตสำคัญ ต่อการขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้ เรามีความตื่นเต้น ที่ได้นำเสนอยนตรกรรมระดับตำนาน รุ่น แรงเลอร์ (Wrangler) และ กลาดิเอเตอร์ (Gladiator) เพื่อเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ ให้ชาวไทยได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษจากรถยนต์ จี๊ป”

สเตลแลนทิส ผู้ถือครองแบรนด์ จี๊ป ในปัจจุบัน ก่อตั้งช่วงเดือนมกราคม ปี 2564 จากการควบรวม 50:50 ระหว่าง เฟียต ไครส์เลอร์ ออโตโมบิลส์ หรือ เอฟซีเอ (FCA-Fiat Chrysler Automobiles) จากสหรัฐอเมริกา และ กรุ๊ป พีเอสเอ (Groupe PSA) จากฝรั่งเศส กับแบรนด์รถยนต์ในเครือมากถึง 14 แบรนด์ ส่งผลให้เป็นผู้ผลิตรถยนต์ชั้นแนวหน้าของโลก และเป็นผู้ให้บริการด้านโมบิลิตี้ยุคใหม่แบบครบวงจร มาพร้อมอิสระในทางเลือก ราคาสมเหตุสมผล และมีประสิทธิภาพสูงสุด

สุนทรพันธ์ เดชะเทศ, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบลฟอร์ต ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า “ผมรู้สึกภาคภูมิใจ ที่ เบลฟอร์ต ออโตโมบิลฯ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายรถยนต์ จี๊ป อย่างเป็นทางการในประเทศไทย จี๊ป ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์รถยนต์ แต่เป็นไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิต อีกทั้งกลุ่มคนผู้ใช้รถยนต์ จี๊ป ก็มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ซึ่ง เบลฟอร์ต ออโตโมบิลฯ เล็งเห็นศักยภาพและความหลงใหลในแบรนด์ จี๊ป ของลูกค้ากลุ่มนี้ ที่จะสามารถนำพา จี๊ป สู่ความสำเร็จในประเทศไทย นอกจากนั้น เราดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการ ‘Customer Centricity’ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้า เพื่อมอบประสบการณ์พิเศษ ให้กับลูกค้าและผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ จี๊ป ในประเทศไทย ดังนั้น จี๊ป จึงเป็นเสมือนตัวแทนความแข็งแกร่งของประเทศไทย ผสานความมุ่งมั่นของเรา ที่จะทำตลาด จี๊ป ในไทยอย่างยั่งยืน”

เบลฟอร์ต ออโตโมบิล (ประเทศไทย) เป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายรถยนต์ เปอโยต์ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ก่อตั้งช่วงปี 2562 โดยยึดหลักในการพัฒนาคุณภาพด้านการขาย และบริการหลังการขายแบบคู่ขนาน ผสานการขยายเครือข่ายให้บริการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เติบโตอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับความเชื่อมั่นของลูกค้าที่เพิ่มต่อเนื่อง ปัจจุบันมียอดจำหน่ายรถยนต์ เปอโยต์ รุ่น 2008, 3008 และ 5008 7 ที่นั่ง ในประเทศไทยรวมสูงกว่า 1,000 คัน นับเป็นการวางรากฐานอย่างมั่นคง และพร้อมสำหรับโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต

จี๊ป ประเทศไทย จะเปิดตัวโชว์รูม พร้อมศูนย์บริการมาตรฐานแห่งแรกบนถนนสุขุมวิทภายในปีนี้ และเปิดตัวรถยนต์ จี๊ป อย่างเป็นทางการ ในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม ถึง 3 เมษายน 2565 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

วอลโว่ คาร์ เผยโฉม THE ALL NEW C40 RECHARGE PURE ELECTRIC สุดยอดนวัตกรรมยานยนต์ Crossover Coupe พลังงานไฟฟ้า 100% ครั้งแรก ในงาน The New Volvo C40 Recharge Pure Electric VIP Preview Event

วอลโว่ คาร์ ตอกย้ำจุดยืนในการส่งมอบรถยนต์พลังงานสะอาดที่สมบูรณ์แบบเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน เผยโฉม The All New Volvo C40 Recharge Pure Electric*รถยนต์สไตล์ครอสโอเวอร์ คูเป้ รุ่นแรกของวอลโว่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าแบบ 100% ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565ในงาน The New Volvo C40 Recharge Pure Electric VIP Preview Event  ณ Show DC Hall พระราม 9 โดยในงานได้มีการนำรถยนต์ The All New Volvo C40 Recharge Pure Electric สีน้ำเงินฟยอร์ด บลู (Fjord Blue) มาจัดแสดงในรอบพิเศษ* เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้ทดลองสัมผัส ก่อนนำไปจัดแสดงอีกครั้งที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2022 ปลายเดือนมีนาคมนี้

* The All New Volvo C40 Recharge Pure Electric ที่นำมาจัดแสดงในงาน ไม่ใช่โมเดลที่จะถูกนำเข้าเพื่อวางแผนการจัดจำหน่ายในประเทศไทย ตัวโมเดลที่นำมาจัดแสดงนี้ มีความแตกต่างบางส่วน ได้แก่ สีของส่วนประกอบรถยนต์บนขอบข้างหลังคา (A and C Pillar) ดีไซน์และขนาดของล้อรถยนต์

มร. คริส เวลส์, กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “วอลโว่ คาร์ เชื่อว่ากุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืนคือการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยตั้งแต่ปี 2020 รถยนต์วอลโว่ที่จำหน่ายในประเทศไทยมีเพียงรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% เท่านั้น และภายในปี 2030 วอลโว่จะจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ทั้งหมด ซึ่งรถยนต์วอลโว่แบบ Pure Electric ทุกคัน จะจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และมาพร้อมกับ Volvo Care Package ซึ่งรวมการรับประกัน การบริการ และการบำรุงรักษา ประกันภัย และบริการติดตั้ง Wall Box ชาร์จไฟรถยนต์ที่บ้าน เราพร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด ตามความมุ่งมั่นของบริษัทฯ เพื่อมอบ อิสรภาพแห่งความเป็นคุณในการขับขี่ ความปลอดภัย และความยั่งยืน

รถยนต์ The All New Volvo C40 Recharge Pure Electric ไม่เพียงออกแบบมาเพื่อการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าแบบ 100% แต่ยังเป็นรถที่สามารถอัปเดทประสิทธิภาพและฟังก์ชันได้อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการใช้งานและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  The All New Volvo C40 Recharge Pure Electric คือต้นแบบของรถยนต์ที่สะท้อนมุมมอง และอนาคตของยนตรกรรมวอลโว่”

รถยนต์The All New Volvo C40 Recharge Pure Electric ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Compact Modular Architecture (CMA) ที่วอลโว่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับรถยนต์คอมแพค      ในสไตล์ ครอสโอเวอร์ คูเป้ ที่รูปทรงของตัวรถสะท้อนอารมณ์และตัวตนของผู้ขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดดเด่นด้วยเส้นหลังคา Slimmed Crossover Roof Line ที่ออกแบบมาให้รับกับทรงท้ายลาดต่ำตามแบบฉบับรถยนต์สไตล์คูเป้ ไฟท้ายแบบเส้นปะที่เดินเส้นไปสู่แผงไฟหลักด้านหลังตัวรถสะท้อนการผสมผสานความโมเดิร์นและความคลาสสิกได้อย่างลงตัว แผง Aero Optimised  Spoiler ที่ไม่เพียงทำให้ The All New Volvo C40 Recharge Pure Electric เย้ายวนสะดุดตา แต่ยังช่วยในเรื่องของการทรงตัวและการยึดเกาะถนน  ด้านหน้ารถคงเอกลักษณ์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100%   ของวอลโว่ด้วยตะแกรงแบบฝาครอบปิดสีเดียวกับตัวถัง ประดับด้วยตราสัญลักษณ์วอลโว่ เรียบหรู มินิมอล ตามแบบฉบับสแกนดิเนเวียน

The All New Volvo C40 Recharge Pure Electric อัดแน่นด้วยสมรรถนะการขับขี่อันเหนือชั้นผ่านพลังมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Dual Motor AWD ให้กำลังสูงสุด 408* แรงม้า ที่ 4,350 – 13,900 รอบ/นาที* พร้อมแรงบิด 660* นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 – 100 ได้ในระยะเวลาเพียง 4.7* วินาที ให้ระยะทางการขับขี่มากกว่า 500* กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง แบตเตอรี่มีระบบรองรับการชาร์จเร็ว โดยใช้เวลาการชาร์จจาก 0 – 80% เพียง 37 นาที*  ระบบการขับขี่แบบ One Pedal Drive ที่ให้การเร่ง ชะลอ และเบรกรถยนต์ The All New Volvo C40 Recharge Pure Electric ทำได้ด้วยแป้นเหยียบเพียงแป้นเดียว และเริ่มขับโดยไม่ต้องกดปุ่มสตาร์ท

* ข้อมูล Technical Specification ดังกล่าวเป็นข้อมูลจาก The All New Volvo C40 Recharge Pure Electric สำหรับรุ่น Model Year ปี 2022 ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงสำหรับข้อมูลบางอย่างในอนาคต สำหรับ The All New Volvo C40 Recharge Pure Electric ที่บริษัทฯ วางแผนจะนำเข้ามาจำหน่าย สำหรับรุ่น Model Year ปี 2023

นอกเหนือจากสมรรถนะในการขับขี่ The All New Volvo C40 Recharge Pure Electric ยังมาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อส่งมอบความปลอดภัย และประสบการณ์การใช้รถที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าที่มาพร้อม  Pixel Technology Headlight โดยใช้เซ็นเซอร์กล้องหน้าควบคุมการเปิดปิดของ LED ทั้งหมด 84 ดวง ในไฟหน้าให้เป็นอิสระต่อกันเพื่อไม่รบกวนสายตาของผู้ใช้เลนตรงข้าม นอกจากนี้ไฟยังสามารถปรับระดับความสว่างได้อัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมของแสงภายนอก รวมถึงส่องสัญญาณไฟ Welcome Light ต้อนรับเมื่อผู้ขับแตะที่มือจับประตูรถ  ระบบ Advanced Driver Assist System (ADAS) ใหม่ล่าสุดช่วยให้กล้องและเซ็นเซอร์รอบตัวรถตรวจจับวัตถุได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และฟังก์ชันเพื่อช่วยในการขับขี่อื่น ๆ อาทิ Driver Assist with Pilot Assist (ระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ) Adaptive Cruise Control (ระบบควบคุมความเร็วแปรผันเพื่อรักษาระยะห่าง) Collision Avoidance (ระบบเลี่ยงการชนและหยุดรถอัตโนมัติ) Cross Traffic Alert with Auto Brake (ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างขณะถอยหลังออกจากที่จอด พร้อมฟังก์ชันหยุดรถอัตโนมัติ), Lane Keeping Aid (ระบบแจ้งเตือนด้วยแรงสั่นที่พวงมาลัยเมื่อรถวิ่งออกนอกช่องทางเดินรถ)

หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

วอลโว่ คาร์ จัดกิจกรรม VOLVO DRIVING EXPERIENCE 2022 ให้ลูกค้าร่วมสัมผัสและทดสอบการขับขี่แบบเหนือชั้นในรถยนต์วอลโว่ทุกรุ่น

มอบประสบการณการขับขี่รูปแบบใหม่เพื่อทดสอบสมรรถนะบนสนามแข่งรถปทุมธานี สปีดเวย์ จ.ปทุมธานี

เมื่อวันที่ 10 – 13 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา วอลโว่จัดกิจกรรม “Volvo Driving Experience 2022” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Volvo Recharge The Drive In You” เพื่อให้ลูกค้าและสื่อมวลชนได้ร่วมทดสอบสมรรถนะรถยนต์วอลโว่โมเดลใหม่ทุกรุ่น ณ สนามปทุมธานี สปีดเวย์ บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ เพื่อฉลองความสำเร็จในการเติบโตของยอดขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid) และ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% (Pure Electric) ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเพื่อตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยียานยนต์ขั้นสูงบนรถยนต์วอลโว่ทุกรุ่น ที่มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยอันชาญฉลาดและสมรรถนะการขับขี่ขั้นสูง ตลอดจนดีไซน์อันโฉบเฉี่ยว หรูหรา มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของวอลโว่ พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟสไตล์การขับขี่ให้กับทุกเจเนอเรชั่นได้อย่างแท้จริง

มร. คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า“จากพันธกิจของเราในการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าแต่เพียงเท่านั้นให้แก่ลูกค้า เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเพื่อส่งมอบรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงและมีความปลอดภัยต่อผู้คนทั้งภายในและภายนอกรถยนต์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราจึงมุ่งมั่นนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่ผ่านการพัฒนาทั้งทางด้านนวัตกรรมและการขับเคลื่อน เพื่อให้ลูกค้าของเราได้รับประสบการณ์ในการขับขี่ที่ดีที่สุด โดยกิจกรรมในวันนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมจะเกิดความประทับใจและมีความสุขในทุกการขับขี่รถยนต์วอลโว่ในทุกโมเดล

การจัดกิจกรรมรอบพิเศษครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ครั้งสำคัญของรถยนต์วอลโว่ประเภท   เอสยูวี, สปอร์ตเอสเตท อเนกประสงค์ และซีดาน ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าและสื่อมวลชน โดยวอลโว่ได้ขนทัพรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Volvo XC40 Recharge Pure Electric – รถรุ่นแรกในตระกูลคอมแพ็กเอสยูวีของวอลโว่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแบบ 100%, Volvo XC40 Recharge Plug-in Hybrid – คอมแพ็กเอสยูวีที่อัดแน่นด้วยนวัตกรรมการขับขี่ขั้นสูง, รถรุ่นอัพเกรด Volvo XC60 Recharge Plug-in Hybrid เอสยูวีขนาดกลางระดับพรีเมียมที่มียอดจำหน่ายสูงถึง 1,000,000 คันทั่วโลก, Volvo V60 Recharge Plug-in Hybrid – ยนตกรรมสไตล์สปอร์ตเอสเตท อเนกประสงค์ที่มาพร้อมนวัตกรรมและเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ไร้คู่แข่ง, Volvo S60  Recharge Plug-in Hybrid และ Volvo S90 Recharge Plug-in Hybrid รถยนต์เจ้าของรางวัล “ซีดานขนาดกลางยอดเยี่ยม จากงาน 2019 Car of The Year Awards” และ Volvo XC90 Recharge Plug-in Hybrid ลักชัวรี่เอสยูวีรางวัลระดับโลกที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยี และดีไซน์สไตล์สแกนดิเนเวียนที่มอบความหรูหราในทุกรายละเอียด

โดยไฮไลท์พิเศษภายในสนามทดสอบ ได้ออกแบบสถานีทดสอบที่มีความหลากหลายและท้าทาย เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้ร่วมทดสอบสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของนวัตกรรม เครื่องยนต์ และ ฟีเจอร์ของรถยนต์วอลโว่ อาทิ ฐาน SUV Station การขับทดสอบรุ่นรถ Volvo XC60 Recharge Plug-in Hybridและ Volvo XC90 Recharge Plug-in Hybrid ออกแบบให้เป็นฐานเนินสูงและต่ำ สลับกันซ้ายขวาเพื่อขับทดสอบช่วงล่างของรถยนต์ และยังมีฐานกึ่งตะแคง เพื่อทดสอบระบบการขับเคลื่อน 

สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และรายชื่อศูนย์บริการวอลโว่ได้ที่ศูนย์บริการลูกค้า 02-161-4144 โดยสามารถดูข่าวสารกิจกรรมล่าสุดของบริษัทได้ที่เว็บไซต์ www.volvocars.com/th

หมวดหมู่
Car Review Lormhuntuathai New Cars New Innovation News

น้ำแข็งและหิมะ ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับ มาเซราติ เกรคาเล่

การทดสอบสมรรถนะของรถ มาเซราติ ต้นแบบรุ่น เกรคาเล่ (Grecale) ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ภาระกิจครั้งนี้เป็นการทดสอบในสวีเดน ท่ามกลางอุณหภูมิเย็นจัด บนเส้นทางที่ปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็ง จนแทบไม่มีแรงยึดเกาะ

ครั้งนี้เป็นการทดสอบเพื่อเก็บรายละเอียดของการปรับแต่งเครื่องยนต์ ขณะสตาร์ทในสภาพอากาศเย็นจัด, ประสิทธิภาพการขับเคลื่อนและการตอบสนองบนเส้นทางลดยาง, น้ำแข็ง และหิมะ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ขับและผู้โดยสารสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายในทุกสภาวะ ตั้งแต่อุณหภูมิเหนือจุดเยือกแข็งเล็กน้อย ไปจนถึงหนาวสุดขั้วระดับ -30 องศาเซลเซียส ใน Lapland ทางตอนเหนือสุดของประเทศฟินแลนด์

นอกจากนั้นก็มีการทดสอบเพื่อปรับรายละเอียดด้านประสิทธิภาพการยึดเกาะ รวมถึงอาการหน้าดื้อ หรือท้ายปัด ในแต่ละโหมดการขับและเมื่อใช้ล้อและยางในแบบที่ต่างกัน

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบสุดขั้ว มาเซราติ เกรคาเล่ สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างน่าทึ่งบนสนามทดสอบแฮนด์ลิ่งที่ลื่นมาก ไปจนถึงการขับบนเส้นทางสุดท้าทาย ประกอบด้วยโค้งอันคดเคี้ยว, สันเนิน, ทางตรงยาว และภูเขาสูงชัน ที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะ

มาเซราติ เกรคาเล่ เป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์ที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะในทุกเส้นทาง แม้ในสภาพอากาศสุดขั้วที่มีหิมะปกคลุม

เกี่ยวกับ มาเซราติ เอส.พี.เอ.

มาเซราติ เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีรูปลักษณ์และบุคลิกโดดเด่น เพียงได้เห็นก็ทราบทันทีว่าเป็น มาเซราติ นับเป็นรถที่กำเนิดมาพร้อมสไตล์, เทคโนโลยี และคาแรคเตอร์พิเศษ ตรงใจผู้มีรสนิยมสุดพิถีพิถัน และเป็นเสมือนบรรทัดฐานในอุตสาหกรรมยานยนต์มาโดยตลอด รถทุกรุ่นล้วนสะท้อนตัวตนของยนตรกรรมอิตาเลียนออกมาได้อย่างชัดเจน ทั้งในด้านการดีไซน์, สมรรถนะ, ความสะดวกสบาย, ความหรูหรา และความปลอดภัย ปัจจุบันมีจำหน่ายในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก นำโดยซีดานสุดหรู ควอตโตรปอร์เต้, สปอร์ตซีดาน กิบลี่ ที่เพิ่งเปิดตัวเวอร์ชันไฮบริด และเอสยูวีรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ เลอวานเต้ ขณะที่ขุมพลังก็มีให้เลือกครบครัน ทั้งเบนซิน วี8 สูบ, วี6 สูบ, 4 สูบ ไฮบริด และดีเซล วี6 สูบ พร้อมระบบขับเคลื่อน 2 หรือ 4 ล้อ นอกจากนั้นก็มียนตรกรรมรุ่นพิเศษ ‘Trofeo Collection’ คือ ควอตโตรปอร์เต้, กิบลี่ และ

เลอวานเต้ ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน วี8 สูบ 580 แรงม้า ตอกย้ำดีเอ็นเอแห่งความสปอร์ตของค่ายตรีศูล ปิดท้ายด้วย MC20 ซูเปอร์คาร์รุ่นล่าสุด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน วี6 สูบ Nettuno ผสานเทคโนโลยีจากสนามแข่งฟอร์มูลาวัน ปัจจุบันรถยนต์ มาเซราติ ผลิตขึ้นในโรงงาน 3 แห่ง โดยรุ่น ควอตโตรปอร์เต้ และ กิบลี่ ผลิตที่โรงงาน Avvocato Giovanni Agnelli Plant ที่เมือง

ตูริน, เลอวานเต้ ผลิตที่ Mirafiori Plant เมืองตูริน และ MC20 ผลิตที่โรงงาน Viale Ciro Menotti เมืองโมเดนา

หมวดหมู่
Car Review Lormhuntuathai New Cars New Innovation News

DFSK รุกตลาด SUV เปิดตัวเพิ่มอีกรุ่น GLORY 560: FAMILY B-SUV 7 ที่นั่ง รับตลาดครอบครัวยุคใหม่

  • เปิดตัวรถยนต์ DFSK รุ่น GLORY 560 ครั้งแรกในงานมอเตอร์โชว์ โคราช
  • ข้อเสนอสุดพิเศษราคา 749,000 บาทสำหรับลูกค้าที่จอง 100 คันแรก
  • ชูความเป็น FAMILY B-SUV 7 ที่นั่ง คันแรกของไทย ออฟชั่นครบ ในราคารถซีดาน

บริษัท อีวี ฮาลิโคนิก จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถ SUV มัลติแบรนด์แห่งแรกของไทย และเป็นผู้จัดจำหน่ายแบรนด์ DFSK หรือ DONGFENG ผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 2 ของจีน แต่ผู้เดียวในประเทศไทย เดินหน้าเปิดตัวรถ SUV เอนกประสงค์ เพิ่มอีกรุ่น สำหรับตลาดรถครอบครัวยุคใหม่ รุ่น “GLORY 560” เป็นครั้งแรกในไทย ภายใต้คอนเซ็ปท์ FAMILY B-SUV 7 ที่นั่ง ย้ำจุดยืน SUV ไซส์ใหญ่ พื้นที่จุสัมภาระกว้างกว่า นั่งได้ 7 ที่นั่งจริง รองรับการใช้งานในครอบครัวได้ทุกรูปแบบ ในราคารถซีดาน โดยจะเปิดโฉม รถยนต์รุ่น GLORY 560 ครั้งแรกในงานมอเตอร์โชว์ โคราช ระหว่างวันที่ 4 – 12 ธันวาคมนี้ที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ โคราช

นายพิทยา ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ อีวี ฮาลิโคนิก เปิดเผยว่าภายหลังการแนะนำรถยนต์ DFSK รุ่น GLORY i-Auto  ซึ่งเป็นรถ SUPER CITY SUV 7 ที่นั่ง ระดับชั้นนำ เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีทันสมัย พร้อมความเป็น 7 นั่ง และ มิติตัวรถที่ใหญ่ที่สุดในคลาส ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ และได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด โดยสามารถจำหน่ายได้แล้ว กว่า 100 คัน แต่จากการสำรวจตลาดพบว่ายังมีช่องว่างทางการตลาดที่ DFSK สามารถเจาะรุกตลาดเพิ่มเติมได้อีก จึงได้เดินหน้าเปิดตัว รถยนต์ DFSK รุ่น GLORY 560 ภายใต้คอนเซ็ปท์ FAMILY B-SUV 7 ที่นั่ง คันแรกของไทย ที่เหมาะสำหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่ ที่เริ่มมีสมาชิกครอบครัวมากขึ้น และเน้นความคุ้มค่า มีความต้องการรถที่ใช้งานได้หลากหลาย ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย

“ภายในงาน มอเตอร์โชว์ โคราช เราจะเปิดตัว รถยนต์ DFSK รุ่น GLORY 560 เป็นครั้งแรกในไทย ในราคาสุดพิเศษ เริ่มต้น 749,000 บาท สำหรับลูกค้าที่จอง 100 คันแรกเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสกับรถ FAMILY B-SUV ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ในรูปแบบ 7 ที่นั่ง ในราคาใกล้เคียงรถซีดาน  ซึ่งนอกเหนือจากการจองในงานนี้แล้ว ลูกค้าที่สนใจ สามารถชมรายละเอียดได้ที่ เว็บไซต์ WWW.GLORYSUV.COM ของบริษัท หรือ เพจเฟสบุ๊ค DFSK GLORY SUV และตัดสินใจสั่งจองในราคาพิเศษได้ที่ดีลเลอร์ทั่วประเทศจำนวน 14 แห่ง โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถส่งมอบรถให้แก่ลูกค้าที่สั่งจองได้ ภายในเดือนมกราคม 2565” นายพิทยา กล่าว

นายพิทยากล่าวว่าในปัจจุบัน สินค้ายี่ห้อสัญชาติจีนจำนวนมาก ได้รับการยอมรับว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพระดับแนวหน้าของโลกในราคาที่จับต้องได้ ทำให้บริษัทฯ ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำสินค้ารถยนต์ในค่ายประเทศจีนมาเปิดตลาดในประเทศไทย ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์จากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ผ่านบททดสอบจนสามารถพิสูจน์ให้ตลาดโลกยอมรับว่าเป็นสินค้าที่ดี มีคุณภาพในราคายุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นสินค้าทางด้านไอที สินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าประเภทรถยนต์

GLORY 560 เป็นรถ SUV ขนาด 7 ที่นั่ง ที่มีขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1,499 ซีซี. เทอร์โบชาร์จ กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตรที่ 1,800 – 4,000 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ช่วงล่างหน้าหลังเป็นระบบแม็คเฟอร์สันอิสระ ช่วงล่างพร้อมเหล็กกันโคลง/เทอร์ชอนบีมพร้อมเหล็กกันโคลง ดีสก์เบรค 4 ล้อ

ส่วนภายในห้องโดยสาร ได้รับการออกแบบทันสมัยที่จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีชั้นนำ จอแสดงข้อมูลขนาด HD 8 นิ้ว ทัชสกรีน เบาะออกแบบเพื่อการนั่งสบายตามหลัก เออร์เกอโนมิค หรือ ERGONOMIC ที่นั่งคนขับปรับ 6 ทิศทาง ผู้โดยสารด้านหน้า 4 ทิศทาง เบาะแถวที่สองพับได้ 60/40 มีที่ท้าวแขนตรงกลาง และที่วางแขนตรงกลางแถวสอง พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังก์ชันพร้อมปรับเอียงได้ และมีระบบอัจฉริยะ (Intelligent Features) ประกอบด้วยระบบนำทาง GPS รีโมทอัจฉริยะ Keyless และปุ่ม Push Start ระบบเสียงหน้าจอสัมผัสแบบลอยตัว HD กระจกไฟฟ้าขึ้น/ลง ควบคุมด้วยรีโมท รีโมทเซ็นทรัลล็อค มีเบรกมืออัตโนมัติ มีระบบครูซคอนโทรล เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ระยะทางไกล พร้อมด้วยระบบปลดล็อคอัตโนมัติกรณีเกิดการปะทะ

สำหรับระบบความปลอดภัยประกอบด้วยระบบช่วยเบรคอิเล็กทรอนิกส์ (EBA) ระบบควบคุมการลื่นไถล (TCS) ระบบควบคุมการทรงตัวของรถ (ESP) ระบบป้องกันการไหลทางลาดชัน (HHC) ระบบเซ็นเซอร์จอดรถพร้อมกล้องมองหลัง ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เบรคมือแบบไฟฟ้า (EPB) ระบบเบรค ABS + EBD และระบบตัดสตาร์ทพร้อมเสียงเตือนภัยเมื่อถูกจารกรรม

“ด้วยมิติตัวรถที่ใหญ่กว่า ความเป็น 7 ที่นั่ง และ เทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกที่อัดจัดเต็มขนาดนี้ในราคารถซีดาน ผมว่า รถยนต์รุ่น GLORY 560 จะเป็น FAMILY B-SUV 7 ที่นั่ง คันแรกของไทย ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่กำลังสร้างครอบครัวและมีความต้องการใช้รถที่ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายจริง ในราคาที่จับต้องได้ ด้วยคุณภาพที่ได้รับการยอมรับจากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งทางบริษัทฯ มีการแต่งตั้งโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐาน เพื่อรองรับลูกค้าทั่วประเทศไปแล้ว ทั้งหมด 14 โชว์รูม พร้อมต้อนรับและรองรับการบริการหลังการขายในกว่า 40 จังหวัดทั่วไทย ยืนยันการทำตลาดระยะยาว อยู่คู่คนไทยกับรถยนต์ SUV คุณภาพ ที่ทางบริษัทฯ จะทยอยคัดสรรเข้ามานำเสนอ อย่างต่อเนื่อง” นายพิทยา กล่าว

บริษัท อีวี ฮาลิโคนิก จำกัด ได้ก่อตั้งและดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถ SUV มัลติแบรนด์แห่งแรกของไทย ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 โดยได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ SUV       แบรนด์ DFSK ค่ายรถยนต์ชั้นนำจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่ผู้เดียวในประเทศไทย ปัจจุบัน บริษัท อีวี ฮาลิโคนิก จำกัด มีการแต่งตั้งดีลเลอร์ทั่วประเทศแล้ว 14 แห่ง และมีแผนงานจะเร่งขยายแต่งตั้งดีลเลอร์เพิ่มเติมเพื่อขยายเครือข่ายในด้านการขายและบริการหลังการขายให้ครอบคลุมทั่วประเทศในอนาคตอันใกล้

DFSK เป็นบริษัทในเครือ ​DONGFENG MOTORS ผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 2 ของจีน มียอดผลิตรถยนต์ปีละ กว่า 3 ล้านคัน ส่งออกทั่วโลกกว่า 50 ประเทศ และ เป็นบริษัทอันดับ 65 ในการจัดอันดับบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกของนิตยสาร Fortune สำหรับ SUV รุ่นที่จำหน่ายในไทยของ DFSK เป็นรถยนต์ที่ผลิตโดยโรงงานมาตรฐานขนาดใหญ่ของ DFSK ที่ประเทศอินโดนิเซีย มีกำลังผลิต กว่า 50,000 คันต่อปี

หมวดหมู่
Car Review Lormhuntuathai New Cars New Innovation News

คัมแบ็คแล้วจ้า! โลตัส คาร์ รถสปอร์ตผู้ดีอังกฤษ นำทัพโดยธีรพงศ์ รอดลอย

ห่างหายจากการทำตลาดในไทยมานานกว่า 6 ปี โลตัส คาร์ ขอกลับมาทวงบัลลังก์ ภายใต้การนำทัพของ นายธีรพงศ์ รอดลอย ผู้จัดการส่วนภูมิภาค บริษัท เวิร์นส์ ออโตโมทีฟ ประเทศไทย กลับมาคราวนี้เอาใจสายสปอร์ตเต็มที่ ให้ได้ยลโฉม 2 รุ่น Lotus Exige Sport 350 และ Lotus Elise Sport 220 ที่สุดแห่งความอมตะแห่งสปอร์ตคาร์ และที่สำคัญคือทำตลาดเป็นล็อตสุดท้ายแล้ว บอกเลยว่าแฟนพันธ์แท้ทั้งหลายต้องรีบจับจองเป็นเจ้าของ และพิเศษสุด! กับการเปิดจอง The New Lotus Emira สปอร์ตคาร์ระดับพรีเมียม ให้คุณได้ครอบครองก่อนใคร ทั้งหมดนี้เรียนเชิญที่ บูธโลตัส B07 ในงาน ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2021 ตั้งแต่วันที่ 1-12 ธันวาคม 2564อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี ขอบอกว่างานนี้ไม่ควรพลาด!

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

อีตั้น กรุ๊ป จัดแคมเปญพิเศษ ฉลองส่งท้ายปลายปีกับแคมเปญ “ETON Expo Festival &

Upgrade”

มอบของขวัญพิเศษ แทนคำขอบคุณ

ที่อีตั้นทุกสาขา

ETON Group (อีตั้น กรุ๊ป) ผู้นำอันดับหนึ่งด้านยนตรกรรมนำเข้า
สำหรับครอบครัวและผู้บริหาร พร้อมศูนย์บริการมาตรฐานครบวงจรมากกว่า
27 ปี นำโดย คุณอัจฉรีย์ ตันติยันกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด
กล่าวว่า


อีตั้น กรุ๊ป มอบของขวัญพิเศษ แทนคำขอบคุณ อัดข้อเสนอดีๆ
ฉลองส่งท้ายปลายปี จัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม
สำหรับลูกค้าที่กำลังมองหารถยนต์อเนกประสงค์ สุดหรูอย่าง Alphard
/Vellfire กับแคมเปญ “ETON Expo Festival & Upgrade”
เข้าสู่เทศกาลแห่งความสุข ด้วยการอัพเกรดรถของคุณให้พิเศษมากกว่าใคร
ด้วยฉากกั้นเพิ่มความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยมากขึ้น หรือ
ล้อแม็กสุดเท่จาก Rojam สำนักแต่งชื่อดังจากแดนอาทิตย์อุทัย
สไตล์สปอร์ต ที่มาผสมผสานกับความหรูหรา
พร้อมให้คุณรับรถได้เลยทันที ไม่ต้องรอ ให้คุณได้เป็นเจ้าของได้ง่ายๆ
กับราคาที่คุณเอื้อมถึง พร้อมรับฟรี ข้อเสนอสุดคุ้ม
 ฟรี ค่าแรงเช็คระยะ 3 ปี หรือ 50,000 กม.

  • พร้อมราคาและเงื่อนไขพิเศษ หลากหลายรุ่น
     Free Super Safety x3
  • ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 1 ปี
  • สไลด์รถส่งมอบรถถึงหน้าบ้าน
  • พร้อมอบโอโซนก่อนส่งมอบรถทุกคัน
    อีตั้น กรุ๊ป ยังขนขบวนรถยนต์เอนกประสงค์หลากหลายรุ่น
    ที่อัพเกรดความพิเศษ มาให้เลือกตามความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น
     Alphard GF Hybrid ตัวท็อป เบาะสีเบจ ราคาพิเศษ ผ่อนเริ่มต้นเพียง
    28,XXX บาท / เดือน อัพเกรดฉากกั้น
    เพื่อความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยในทุกเส้นทาง
    พร้อมระบบความบันเทิงเต็มพิกัด
     Vellfire ZG หมดแล้วหมดเลย จำนวนจำกัด Vellfire ZG ราคาพิเศษ
    ผ่อนเริ่มต้นเพียง 23,XXX บาท / เดือน พร้อมอัพเกรดล้อแม็กสุดเท่จาก
    Rojam และของแถมอื่นๆ อีกเพียบ
     Alphard X Hybrid ตัวเริ่มต้น ราคาพิเศษ ผ่อนเริ่มต้นเพียง 23,XXX
    บาท / เดือน รับฟรีเบาะหนัง และเงื่อนไขพิเศษ
     ALL New Harrier ราคาพิเศษ เริ่มต้น 2.41 ล้านบาท รถ SUV สุดเท่
    ที่มาพร้อมระบบความปลอดภัยแบบเต็มพิกัด ผ่อนเริ่มต้นเพียง 19,XXX
    บาท / เดือน พร้อมอัพเกรดล้อแม็กสุดเท่จาก Rojam
    โอกาสพิเศษปลายปีแบบนี้ อีตั้น กรุ๊ป สานต่อโครงการ Drive to
    Share ขอเชิญลูกค้าตอบแทนสังคมด้วยการให้ ร่วมสมทบทุน ในกรรมการ
    “อีตั้น ปันน้ำใจ” ซื้อรถ เท่ากับ ให้ ทุกยอดขายในแคมเปญ “ETON Expo
    Festival & Upgrade”
    รายได้ส่วนหนึ่งร่วมสมทบทุนเพื่อเป็นทุนสนับสนุนการดำเนินงานให้กับการกุ
    ศล
    นอกจากนี้พนักงานอีตั้น กรุ๊ป เข้ารับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว 100 %
    และบริษัทยังคงรักษามาตรการป้องกันความสะอาด
    และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
    เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้เสมอเมื่อเข้ามาใช้บริการทั้งโชว์รูม และศูนย์บริการ
  • บริการส่งมอบรถถึงบ้านทั่วไทย และ บริการฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ฟรี
  • บริการให้คำปรึกษาผ่านช่องทาง Online
  • บริการอบโอโซน และฆ่าเชื้อภายในรถยนต์ทุกคันก่อนส่งมอบ ฟรี
    แคมเปญพิเศษ “ETON Expo Festival & Upgrade”
    เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้ – 30 ธันวาคม ศกนี้ เท่านั้น!! ทั้งนี้
    ท่านที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมของอีตั้น กรุ๊ป
    ทั้ง 4 สาขาทั่วประเทศ ได้แก่ สำนักงานใหญ่ศรีนครินทร์ สาขารัชดาภิเษก
    สาขาเชียงใหม่ และสาขาขอนแก่น เปิดบริการทุกวันจันทร์ถึงวันอาทิตย์
    ตั้งแต่เวลา 08.30 – 18.00 น. หรือติดต่อเบอร์ 0-2789-9998 http://www.eton-
    import.com, https://www.facebook.com/ETONIMPORTGROUP,
    Instargram: etongroup และ Line: @etongroup
หมวดหมู่
Car Review Lormhuntuathai New Cars New Innovation News

เอ็มจี แนะนำ NEW MG EP PLUS

ตอกย้ำภาพรถพลังงานไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริงในราคา 998,000 บาท

กรุงเทพฯ – 18 พฤศจิกายน 2564 บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย แนะนำ NEW MG EP PLUS ที่เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งาน
เพื่อตอกย้ำภาพรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริงมากขึ้น พร้อมเชิญชวนคนไทยมาร่วมทดลองใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรับข้อเสนอสุดพิเศษในกิจกรรม “Charge your day, Change your life” ที่ศูนย์สร้างประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ MG Driving Experience Centre ถนนศรีนครินทร์ และโชว์รูมรถยนต์เอ็มจีทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน .. 2564

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เอ็มจีรู้สึกภูมิใจที่ปัจจุบันคนไทยมีความคุ้นชินและหันมาสนใจรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่เอ็มจีเริ่มบุกเบิกตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยด้วยการแนะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของเอ็มจีออกสู่ตลาดเมื่อ 2 ปีก่อน จนถึงปัจจุบันเอ็มจีก็ยังคงเดินหน้าแนะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ
เข้าสู่ตลาดและเดินหน้าผลักดันการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างเอาจริงจังมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาด้านการ บริการหลังการขายที่ครอบคลุมทั้งการบริการและดูแลรักษารถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบครบวงจรทั่วประเทศ ตลอดจนการลงทุนขยายสถานี MG Super Charge โดยปัจจุบันมีอยู่กว่า 119 แห่ง และมีแผนจะขยายเพิ่มเติมอีกกว่า 500 แห่งในเร็วๆนี้ เพื่อสร้างความสะดวกสบายและเสริมความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทำให้วันนี้แบรนด์เอ็มจีมีความพร้อมทุกด้านในการรองรับและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในประเทศอย่างเต็มประสิทธิภาพ และพร้อมยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยให้ก้าวสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า ในอนาคตอันใกล้นี้”

สำหรับ NEW MG EP PLUS เป็นการยกระดับการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถใช้งานได้จริงให้ชัดเจนยิ่งขึ้นจาก MG EP รุ่นปกติ ซึ่งยังคงสะท้อนมาตรฐานขั้นต้นของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยที่ไม่ใช่มีดีแค่ดีไซน์แต่จะต้องตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายได้อย่างแท้จริง ใน 4 ด้านหลักๆ ได้แก่

  • ด้านมิติตัวถังและพื้นที่การใช้งาน (Dimension) ขนาดใหญ่และภายในกว้างขวางสามารถบรรทุกได้ทั้งคนและของ ได้อย่างเต็มที่กับจุดเด่นของการเป็นรถประเภทสเตชั่นแวกอนที่มีพื้นที่บรรจุสัมภาระสูงสุดถึง  1,456 ลิตร พร้อมการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมทั้งชุดราวหลังคา (Roof Rail) รองรับน้ำหนักได้ถึง 75 กิโลกรัม ที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถขนสัมภาระและอุปกรณ์ต่างๆ ได้มากกว่าเดิมเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของลูกค้า
  • ด้านความสะดวกสบายและระบบความปลอดภัย (Convenience & Safety) ที่ครบครันทั้งฟังก์ชั่นและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพร้อมการติดตั้งระบบกรองอากาศ PM 2.5 ที่สามารถดักจับและป้องกันฝุ่นละอองอนุภาคเล็กภายในห้องโดยสาร และแผ่นปิดห้องเครื่องด้านหน้า เพิ่มความเรียบร้อยและสะดวกในการบำรุงรักษา นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งในรูปแบบ Active และ Passive Safety ครบครันจึงให้ความมั่นใจในการขับขี่
  • ด้านสมรรถนะของ EV (EV Performance) ชูจุดเด่นของการขับขี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า กับแรงบิดสูงสุดที่มาตั้งแต่ต้น ทำให้เร่งได้แบบทันใจ ไม่ต้องรอรอบ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลา เพียง 8.8 วินาที และด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ทำให้วิ่งได้ไกลถึง 380 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง 
  • ด้านความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ (Value) ด้วยค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและค่าบำรุงรักษาที่ต่ำช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาวโดยมีค่าใช้จ่ายการชาร์จไฟฟ้าตั้งแต่ 0-100% เฉลี่ยเพียง 200 บาท หรือเฉลี่ยค่าใช้จ่ายไม่ถึง 1 บาท ต่อกิโลเมตร จึงทำให้ประหยัดกว่ารถยนต์น้ำมัน กว่า 2-3 เท่า และในเรื่องของการดูแลรักษาที่ผู้บริโภคบางส่วนยังมีความกังวล เอ็มจีก็ได้เผยค่าใช้จ่ายในการเช็คระยะตลอดระยะทาง 100,000 กิโลเมตร อยู่ที่ประมาณ 7,828 บาทเท่านั้น

นอกจากจุดเด่นที่กล่าวมาข้างต้น MG EP ยังถือเป็นรถพลังงานไฟฟ้าที่มีมาตรฐานระดับสากล ที่วางจำหน่ายในประเทศโซนยุโรปหลายประเทศ

NEW MG EP PLUS ราคาจำหน่าย 998,000 บาท มีสีตัวถังให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว (Arctic White) สีเงิน (Metallic Grey) และสีดำ (Black Knight)

พร้อมกันนี้ เอ็มจียังได้เปิดโอกาสให้คนไทย ได้สัมผัสและทดลองขับทั้งรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% อย่าง MG EP พร้อมด้วยรถปลั๊กอินไฮบริดอย่าง MG HS PHEV ที่มาพร้อมเทคโนโลยี ความทันสมัย และความคุ้มค่า ในกิจกรรม “Charge your day, Change your life” ที่ศูนย์สร้างประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ MG Driving Experience Centre ถนนศรีนครินทร์ และโชว์รูมเอ็มจีกว่า 150 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน .. 2564

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MG CALL CENTRE โทร. 1267 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมของเอ็มจีได้ที่

Website: www.mgcars.com

Line: @MGThailand

Facebook: www.facebook.com/MGcarsThailand

Twitter: @mg_thailand

Instagram: @mgthailand

Youtube: MG Thailand

TikTok: @mgthailand

หมวดหมู่
Car Review Lormhuntuathai New Cars New Innovation News

ลองท้าทาย กับความแข็งแกร่งสไตล์ขั้นเทพกันหน่อย…

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

ASTON MARTIN BANGKOK เปิดตัว ‘VANTAGE ROADSTER’ ยนตรกรรมสปอร์ตนักล่า เปิดหลังคาท้าสายลม

กรุงเทพฯ 10 พฤศจิกายน 2564, แอสตัน มาร์ติน แบงคอก ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ แอสตัน มาร์ติน อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจ มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ เอ็มจีซี-เอเชีย เปิดตัวยนตรกรรมรุ่นใหม่ ‘แวนเทจ โรดสเตอร์’ (Vantage Roadster) เวอร์ชันเปิดหลังคาท้าสายลมของสายพันธุ์ ‘แวนเทจ’ ภายใต้คอนเซ็ปต์ A Born Predator ท่ามกลางบรรยากาศผ่อนคลาย ณ นายเลิศปาร์ค เฮอริเทจ โฮม (Nailert Park Heritage Home)

ฉัตรชัย แก้วผ่องศรี, ผู้จัดการทั่วไป แอสตัน มาร์ติน แบงคอก กล่าวว่า “แอสตัน มาร์ติน แวนเทจ โรดสเตอร์ เป็นรถสปอร์ตที่งดงาม ผสานความดุดันแบบนักล่า ผ่านการพัฒนามาพร้อมกับรุ่นคูเป้ และเมื่อผู้ขับเปิดหลังคา ก็พร้อมสัมผัสโลกใบใหม่ ที่เร้าใจเป็นทวีคูณ”

++ Vantage Roadster: เปิดมิติใหม่ สู่ดินแดนแห่งความเร้าใจเกินพรรณนา

แอสตัน มาร์ติน ‘แวนเทจ โรดสเตอร์’ มาพร้อมรูปลักษณ์ที่ดุดันและน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น ผสานเส้นสายบึกบึนแบบเดียวกับรุ่นคูเป้อันเป็นเอกลักษณ์ ดุดันแบบนักล่า โอเวอร์แฮงค์หน้า-หลังสั้นและโป่งล้อกว้าง แสดงถึงความคล่องตัวและการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพ ไฟหน้าแบบใหม่ พร้อมไฟท้ายบางเฉียบ กว้างเต็มพื้นที่ของฝาท้ายที่เชิดขึ้น สะท้อนคาแรคเตอร์ของนักล่ามือฉกาจ ควบคู่สมรรถนะเหนือชั้น

แอสตัน มาร์ติน ‘แวนเทจ โรดสเตอร์’ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน วี8 สูบ 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 503 แรงม้า (BHP) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 685 นิวตันเมตร ที่ 2,000-5,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF ผสานเพลาขับวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ติดตั้งในปลอกอะลูมิเนียม (alloy torque tube) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 306 กม./ชม. โดยเครื่องยนต์ถูกติดตั้งให้ชิดกับตัวถังมากสุด เพื่อการกระจายน้ำหนักที่สมดุล 50:50% ภายใต้พิกัด 1,745 กก. (1,628 กก. เมื่อติดตั้ง lightweight options)

แฮนด์ลิงคมกริบ เป็นผลจากช่วงล่างหน้า ดับเบิลวิชโบน หลัง มัลติ-ลิงค์ พร้อมโช้กอัพปรับความหนืดอัตโนมัติ และเฟืองท้ายอิเล็กทรอนิกส์ (E-Diff) กระจายกำลังสู่ล้อคู่หลังอย่างเหมาะสม ห้องโดยสารเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ระบบความบันเทิงภายในรถ ควบคุมผ่านจอแอลซีดีอเนกประสงค์ 8 นิ้ว พร้อมชุดเครื่องเสียงของ แอสตัน มาร์ติน บลูทูธ รองรับการเชื่อมต่อกับไอพอด ไอโฟน ช่องเสียบยูเอสบี และระบบนำทางผ่านดาวเทียม โดยเมื่อเปิดหลังคา ผู้โดยสารก็จะได้รับความบันเทิงเต็มพิกัด กระตุ้นโสตประสาทด้วยเสียงคำรามกึกก้องจากเครื่องยนต์และท่อไอเสีย เติมเต็มความสปอร์ตสุดเร้าใจ ได้อย่างไร้ที่ติ

++ หวนคืนสนามแข่ง ฟอร์มูลาวัน

แอสตัน มาร์ติน ก่อตั้งช่วงปี 1913 และนับเป็นแบรนด์ที่มีจิตวิญญาณของรถแข่งอยู่ในสายเลือด บันทึกประวัติศาสตร์ช่วงปี 1922 ในการแข่ง French Grand Prix ด้วยรถ Bamford & Martin Special กับสถิติโลกความเร็วสูงสุดบนสนามแข่ง Brooklands ในขณะนั้น และในฤดูกาลแข่ง ฟอร์มูลาวัน ปีนี้ แอสตัน มาร์ติน ก็หวนคืนสู่สังเวียนอีกครั้ง นำทีมโดยนักแข่งชาวเยอรมัน ‘เซบาสเตียน เฟตเทล’ แชมป์โลกฟอร์มูลาวัน 4 สมัย

โอกาสพิเศษ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบยนตรกรรมสปอร์ตเมืองผู้ดี เพราะ ‘Aston Martin Q Financial Program’ เปิดโอกาสให้ออกรถ ‘แวนเทจ โรดสเตอร์’ ยนตรกรรมสปอร์ตนักล่า ได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมหยิบยื่นหลากหลายสิทธิ์ประโยชน์สุดคุ้มค่า

  • ชำระงวดแรก 235,000 บาท ก็ออกรถได้ทันที*
  • ประกันภัยชั้น 1 ตลอดอายุสัญญา*
  • Warranty ตลอดอายุสัญญา ไม่จำกัดระยะทาง*
  • บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ตลอดอายุสัญญา*
  • ฟรี ค่าจดทะเบียน*
  • ฟรี ภาษีรถยนต์ประจำปี และ พรบ. ตลอดอายุสัญญา*
  • อิสระกับทางเลือก 4R เมื่อสัญญาสิ้นสุด: Return, Renew, Retain หรือ Refinance*  

แอสตัน มาร์ติน ‘แวนเทจ โรดสเตอร์’ ราคาเริ่มต้น 15.9 ล้านบาท

มาพร้อมการรับประกันคุณภาพ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ข้อมูลรถยนต์ แอสตัน มาร์ติน แวนเทจ โรดสเตอร์

A picture containing car, transport

Description automatically generated

มิติตัวถัง

ยาว: 4,465 มม.

กว้าง: 1,942 มม. (ไม่รวมกระจกข้าง) / 2,153 มม. (รวมกระจกข้าง)

สูง: 1,274 มม.

ระยะฐานล้อ: 2,704 มม.

น้ำหนักรถเปล่า: 1,745 กก. (1,628 กก. เมื่อติดตั้ง lightweight options)

อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักหน้า-หลัง: 49:51

เครื่องยนต์

เบนซิน วี8 สูบ เทอร์โบคู่

ความจุ: 4.0 ลิตร

ขับเคลื่อน: ล้อหลัง

อัตราส่วนการอัด: 10.5:1

แรงม้า: 503 bhp ที่ 6,000 รอบ/นาที

แรงบิด: 685 นิวตันเมตร ที่ 2,000-5,000 รอบ/นาที

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที

ความเร็วสูงสุด 306 กม./ชม.

ระบบส่งกำลัง

เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ของ ZF

เพลาขับผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมปลอกอะลูมิเนียม

อัตราทดเฟืองท้าย: 2.93:1

ระบบกันสะเทือน

หน้า: ดับเบิลวิชโบน คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง และโช้กอัพแบบอะแด๊ปทีฟ

หลัง: มัลติ-ลิงค์ คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง และโช้กอัพแบบอะแด๊ปทีฟ

ระบบเบรก

หน้า: จานเบรกคาร์บอนเซรามิก 410 มม.

หลัง: จานเบรกคาร์บอนเซรามิก 360 มม.

ล้อและยาง

ล้อแม็ก 10 Spoke ขอบ 20 นิ้ว

ยาง: หน้า Pirelli P Zero 255/40/20 หลัง Pirelli P Zero 295/35/20

ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ: แอสตัน มาร์ติน แบงคอก

โทร. 02-670-6040 (โชว์รูมพร้อมศูนย์บริการ สาขาพระราม 3)

02-610-9775 (โชว์รูมสาขาสยามพารากอน)

เฟสบุ๊ค: Astonmartinbangkok

อี-เมล: contact@astonmartin-bangkok.com

หมวดหมู่
Car Review New Innovation News

ระบบช่วงล่างที่เหนือชั้น

เบื้องหลังความพร้อมลุยของ FX4 Max

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 9 พฤศจิกายน 2564 – เพราะลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมต่างๆ ของฟอร์ด ทั้งยังมีส่วนสำคัญอย่างมากในการสร้างรถกระบะรุ่นพิเศษต่างๆ นี่จึงเป็นที่มาของรถฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max

ทีมวิศวกรฟอร์ดใช้ข้อมูลจากความเห็นของลูกค้าในการพัฒนารถกระบะอเนกประสงค์รุ่นนี้เป็นหลัก โดยเก็บข้อมูลทั้งจากผู้ขับขี่สายลุยที่มองหารถที่อัดแน่นด้วยสมรรถนะพร้อมตะลุยเส้นทางออฟโรด และลูกค้าที่เน้นการใช้งานให้รถคู่ใจช่วยขนของและสัมภาระต่างๆ ทำให้วิศวกรฟอร์ดตระหนักว่าหากมีรถที่ตอบสนองความต้องการทั้งสองแบบได้ก็คงดีไม่น้อย การรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันช่วยให้ฟอร์ดสร้างสรรค์ระบบช่วงล่างที่ตอบสนองทุกการใช้งานในรถฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max

มาร์ติน สเตย์น วิศวกรบูรณาการยานยนต์โครงการฟอร์ด เรนเจอร์ กล่าวว่า “โจทย์สำคัญคือการออกแบบฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ให้ขับขี่แบบออฟโรดได้ดีเยี่ยม โดยไม่ลดความสามารถในการบรรทุก และลากจูง”  

คริส ดีน วิศวกรนักพัฒนาอาวุโสด้านสมรรถนะการขับขี่ เป็นผู้นำทีมในการพัฒนารถคันนี้ เขาเองก็เป็นเจ้าของรถฟอร์ด เรนเจอร์ ที่ใช้รถทั้งเพื่อการทำงานและท่องเที่ยว คริสจึงเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี  

“วิศวกรของเรามุ่งมั่นที่จะเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมรถ และเพิ่มความสะดวกสบายระหว่างการขับออฟโรด โดยไม่ลดทอนคุณสมบัติด้านการใช้งานของรถฟอร์ด เรนเจอร์ เพราะลูกค้าต้องการรถที่บรรทุกสัมภาระได้มาก ระหว่างเดินทางแบบออฟโร้ด ส่วนตัวผมใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max  เมื่อได้รับหน้าที่ดูแลการพัฒนารถรุ่นนี้ ผมจึงนำประสบการณ์ส่วนตัวมากมายมาประยุกต์ใช้ ในฐานะผู้ขับฟอร์ด เรนเจอร์เอง ผมใช้ขับเที่ยวไปในพื้นที่นห่างไกลฝูงชน มากพอๆ กับการใช้ขนไม้ และการขับไปทำงาน” คริสกล่าว

องค์ประกอบสำคัญเพื่อความสะดวกสบายและสมรรถนะเหนือชั้น

ระบบกันสะเทือนหรือโช้ค ทำงานโดยการควบคุมการเคลื่อนไหวของระบบช่วงล่าง แรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากถนนที่ขรุขระและการเคลื่อนที่ของรถจะออกแรงกดบริเวณสปริงซึ่งจะเก็บกักแรงเอาไว้ได้ โช้คที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจะควบคุมแรงกดนั้นโดยไม่ให้เพิ่มแรงสะเทือนจากพื้นถนนสู่ตัวรถ ทำให้รถวิ่งได้อย่างนุ่มนวล และนำแรงกดดังกล่าวไปเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนที่จะระเหยออกไปแทน

นอกจากมอบความสะดวกสบายภายนห้องโดยสารแล้ว ระบบกันสะเทือนยังช่วยให้ล้อยึดเกาะกับพื้นได้ดี ทำให้ผู้ขับควบคุมรถและเบรกได้อย่างคล่องตัว โช้คของรถแต่ละคันต้องได้รับการปรับจูนให้เหมาะกับประเภทของการใช้งาน สำหรับ ฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max โช้คที่ใช้ได้รับการพัฒนาเพื่อขับขี่แบบออฟโรดโดยเฉพาะ

ทำไมระบบกันสะเทือน FOX Shocks แบบโมโนทิวบ์ของฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max จึงพิเศษกว่าใคร

“ระบบกันสะเทือนแบบโมโนทิวบ์ ในฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ คุณไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป” คริสกล่าว “ปกติระบบกันสะเทือน FOX แบบโมโนทิวบ์สามารถหาได้ในร้านขายอะไหล่ทั่วไป แต่รุ่นที่ติดตั้งในฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max เป็นผลงานการวิศวกรรมร่วมกันระหว่างทีมฟอร์ดกับโรงงานของ FOX เพื่อสร้างระบบกันสะเทือนที่เหนือชั้นขึ้นไปอีก”

ทีมวิศวกรได้ทดสอบระบบกันสะเทือนโดยผ่านการปรับแต่งถึง 76 รูปแบบ เพื่อให้ได้ความสมดุลสูงสุด ตรงกับที่คาดหวังไว้

ระบบช่วงล่างทั้งด้านหน้าและหลังสำหรับการขับออฟโรดมีการยกสูงจากพื้นขึ้นกว่าเดิมและเพิ่มระยะยุบตัว เพื่อให้ลูกค้าขับรถฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ไปได้ทุกที่ ด้วยความสามารถในการซับแรงกระแทก และวิ่งบนทางลูกรังได้อย่างนุ่มนวล โดยยังมอบความสะดวกสบายขณะขับขี่ทางเรียบได้เช่นกัน ผลลัพธ์จึงเป็นรถกระบะที่มีความสามารถในการบรรทุกของได้ถึง 980 กิโลกรัม และยังลากจูงได้ 3.5 ตัน

“เราได้เพิ่มกระบอกซับแทงค์ และเบสวาล์วไว้ที่ระบบกันสะเทือนด้านหลัง เพื่อเพิ่มการควบคุมความเร็วของเพลาหลังเมื่อขับออฟโรด พร้อมเสริมตัวยึดการคืนตัวของโช้คแบบไฮดรอลิก ซึ่งจะไม่มีในระบบกันสะเทือนแบบโมโนทิวบ์แบบมาตรฐาน”

ปกติแล้วระบบกันสะเทือนทั่วไปใช้ลูกสูบภายในและระบบวาล์วควบคุมการไหลเวียนของน้ำมันที่ใช้ในตัวโช้ค ซึ่งจะควบคุมการเคลื่อนที่ขึ้นลงของระบบช่วงล่างอีกที กลไกนี้จะซับแรงกระแทกและทำให้ขับได้นุ่มนวล แต่ขณะเดียวกันก็จะทำให้เกิดความร้อน ยิ่งโช้คทำงานหนักเท่าไร ความร้อนยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น และหากของเหลวภายในร้อนเกินไป ก็จะทำให้ระบบกันสะเทือนด้อยประสิทธิภาพลง

ระบบกันสะเทือนของฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max มีคำตอบสำหรับปัญหานี้ไว้แล้ว โดยตัวโช้คทั้งชิ้นทำจากอลูมิเนียมเคลือบผิวที่สามารถระบายความร้อนได้ดี และทนทานต่อการสึกหรอเมื่อใช้รถเป็นเวลานาน โดยของเหลวจะผ่านกระบวนการเปลี่ยนให้สามารถใช้ลดการเสียดสี และเพิ่มสมรรถนะการทำงานได้ในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน

ผ่านการทดสอบทางวิศวกรรมอย่างเข้มข้น

ฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ไม่ได้มีความครบครันเพียงในขั้นตอนการออกแบบเท่านั้น แต่ทีมวิศวกรฟอร์ดในออสเตรเลียยังได้ทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการทดสอบรถ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max จะมีสมรรถนะตามที่คาดหวังไว้

วิศวกรนำรถต้นแบบฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ไปทดสอบทั้งในศูนย์ทดสอบและบนถนนจริง โดยฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ได้ผ่านการทดสอบช่วงล่างด้วยระบบสั่นสะเทือนจำลองการวิ่งบนพื้นที่ขรุขระทั้งขณะที่บรรทุกสัมภาระ และไม่บรรทุกของในกระบะท้าย ขณะทดสอบในศูนย์ทดสอบยูแยงส์ของฟอร์ด ออสเตรเลีย

จากการทดสอบในศูนย์ที่ตัวแปรต่างๆ มีการควบคุมไว้แล้ว ได้แสดงให้เห็นความสามารถตามคอนเซ็ปต์การสร้างฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max แต่ทีมวิศวกรต้องการลงพื้นที่จริงโดยใช้ภูมิประเทศอันเป็นเอกลักษณ์ของออสเตรเลียในการทดสอบ เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพว่ารถสามารถตอบโจทย์การใช้งานจริงได้

“สภาพแวดล้อมที่เราใช้ในขั้นตอนการปรับแต่งระบบช่วงล่างมีความใกล้เคียงกับตอนที่เราพัฒนาฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ แต่มีการเน้นเรื่องการบรรทุกมากขึ้น ปกติเราจะไม่ได้ทดสอบรถในพื้นที่บริเวณนี้โดยมีการบรรทุกของด้วยเนื่องจากเป็นพื้นที่สมบุกสมบัน แต่สำหรับฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max พื้นที่นี้เหมาะกับการทดสอบการใช้งานของลูกค้าในแบบที่เราคิดไว้ เช่น สำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยวเดินป่า” คริสกล่าวเสริม

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จัดกิจกรรม ‘End of Season Deal’ ยกทัพรถผู้บริหาร BMW ป้ายแดง ไมล์น้อย ราคาดี 11-14 พฤจิกายนนี้ ที่โชว์รูมลาดพร้าวและพระรามที่ 4

บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด หยิบยื่นข้อเสนอคุ้มค่าที่สุดแห่งปี ‘End of Season Deal’ ยกทัพรถผู้บริหาร BMW ป้ายแดง ไมล์น้อย ราคาดี การันตีคุณภาพ พิเศษสุดเพียง 4 วันเท่านั้น 11-14 พฤศจิกายนนี้ ที่โชว์รูม บีเอ็มดับเบิลยู มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป สาขาลาดพร้าว, พระรามที่ 4 และโครงการ เอ-สแควร์ ซอยสุขุมวิท 26

สมปราชญ์ โบสุวรรณ, รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายขายและการตลาด บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด เผยว่า “งานนี้จัดขึ้นเพื่อแทนคำขอบคุณลูกค้า ที่ได้มอบความไว้วางใจให้กับเรามาโดยตลอด โดยนับเป็นข้อเสนอพิเศษที่สุดแห่งปี จึงขอใช้โอกาสนี้เชิญชวนทุกท่าน มาสัมผัสและจับจองกันครับ”

++ ‘End of Season Deal’ รถผู้บริหาร BMW ป้ายแดง ไมล์น้อย ราคาดี การันตีคุณภาพ

บีเอ็มดับเบิลยู มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป หยิบยื่นความคุ้มค่าที่สุดแห่งปี กับโอกาสในการเป็นเจ้าของยนตรกรรม BMW Premium Selection รถผู้บริหาร ป้ายแดง ไมล์น้อย สภาพดี การันตีคุณภาพตามมาตรฐาน บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย

ยี่ห้อรุ่นราคาเริ่มต้น (บาท)
BMW220i Gran Coupé Sport1,790,000
BMW320d M Sport2,250,000
BMW330e M Sport2,390,000
BMW520d M Sport (LCI)2,990,000
BMW530e M Sport (LCI)3,190,000
BMW730Ld sDrive M Sport4,890,000
BMW745Le xDrive M Sport4,990,000
BMWX1 sDrive20d xLine (LCI)1,990,000
BMWX1 sDrive20d M Sport (LCI)2,090,000
BMWX3 sDrive30e xLine2,690,000
BMWX3 sDrive30e M Sport3,090,000

โดยรถยนต์ทุกคัน มาพร้อมหลากหลายข้อเสนอสุดพิเศษ

  • ฟรี! ประกันภัยชั้น1 นาน 1 ปี*
  • ฟรี! Garmin Smart Watch Forerunner 55*
  • ฟรี! บัตรน้ำมันมูลค่าสูงสุด 20,000 บาท*

ยิ่งไปกว่านั้น มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป ก็มีอีกกิจกรรมพิเศษในเดือนพฤศจิกายน กับงาน ‘Millennium Auto Roadshow’ ระหว่างวันที่ 16-22 พฤศจิกายนนี้ ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน พร้อมรับข้อเสนอเดียวกับงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2021

  • อัพเกรดโปรแกรมบำรุงรักษา BSI นานสูงสุด 10 ปี*
  • ฟรี! GoPro HERO10 Black*
  • ฟรี! ประกันภัยชั้น 1 (BMW Protect) สูงสุด 3 ปี*
  • ฟรี! บัตรเติมน้ำมันมูลค่าสูงสุด 30,000 บาท*
  • ดอกเบี้ย 0% สูงสุด 3 ปี*
  • พิเศษ! ออกรถวันนี้ รับสิทธิ์ลุ้นรางวัลรวมมูลค่ากว่า 7 ล้านบาท กับ BMW Financial Services*

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูม มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป ทุกสาขา ทั้งในกรุงเทพฯ คือ พระรามที่ 4, ลาดพร้าว, พระรามที่ 3, สยามพารากอน และไอคอนสยาม รวมถึงสาขาต่างหวัด คือ อุบลราชธานี, ภูเก็ต, หาดใหญ่ และสุราษฎร์ธานี

โทร. 1286 MILLENNIUM AUTO CONNECT

LINE Official: @millenniumauto

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

หมวดหมู่
Car Review Lormhuntuathai New Cars New Innovation News

มาสเตอร์ฯ ฉลองเปิดประเทศ ชวนลูกค้าขับฟรี! เที่ยวฟิน ยกขบวน YARIS และ CITY รวมกว่า 70 คัน ให้ลูกค้าจับจองในราคาสุดเร้าใจ

มาสเตอร์ เซอร์ทิฟายด์ ยูสคาร์ ศูนย์รวมรถยนต์มือสองครบวงจร ภายใต้กลุ่มธุรกิจ มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) ขานรับนโยบายเปิดประเทศ กับแคมเปญ ‘ขับฟรี! เที่ยวฟิน’ ยกขบวน โตโยต้า YARIS, ATIV และ ฮอนด้า CITY ใช้แล้ว สภาพดี พร้อมมีการรับประกันคุณภาพมาตรฐาน รวมกว่า 70 คัน มาให้ลูกค้าได้เลือกสรรแบบจุใจ ในราคาคุ้มค่าที่สุดแห่งปี วันนี้ ถึง 7 พฤศจิกายน 2564 ที่โชว์รูม มาสเตอร์ เซอร์ทิฟายด์ ยูสคาร์ สาขาประดิษฐ์มนูธรรม (YARIS & ATIV) และในวันที่ 8-12 พฤศจิกายนนี้ ที่โชว์รูม ซัมมิท ฮอนด้า ยูสคาร์ ทุกสาขา (CITY)

สมชาย ตระกูลภิรมย์, รองกรรมการผู้จัดการ มาสเตอร์ เซอร์ทิฟาย ยูสคาร์ ในเครือกลุ่มธุรกิจ มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ เอ็มจีซี-เอเชีย กล่าวว่า “การเปิดประเทศน่าจะส่งผลให้มีการเดินทางเพิ่มขึ้น เราจึงตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยการนำรถยนต์ยอดนิยมตลอดกาลอย่าง YARIS และ CITY มาให้ลูกค้าได้จับจองในราคาสุดคุ้ม”

++ TOYOTA YARIS ปี 2018 และ ATIV ปี 2017 กว่า 30 คัน เริ่มต้น 359,000 บาท

มาสเตอร์ เซอร์ทิฟายด์ ยูสคาร์ ยกทัพ TOYOTA YARIS และ ATIV ใช้แล้ว สภาพดี มาให้ลูกค้าได้เลือกสรรกว่า 30 คัน พร้อมราคาสุดเร้าใจ มาพร้อมหลากหลายข้อเสนอสุดคุ้มค่า

  • ดาวน์ 0 บาท*
  • ออกรถวันนี้ ขับฟรี! ถึงปีหน้า*
  • ผ่อนนาน 84 เดือน*
  • ฟรี! ประกันภัยชั้น 1*

++ HONDA CITY ปี 2017 กว่า 40 คัน เริ่มต้น 379,000 บาท

ถูกใจสาวก ฮอนด้า แน่นอน เพราะงานนี้ มาสเตอร์ฯ จัดเต็มกับยนตรกรรมยอดนิยม HONDA CITY ปี 2017 ใช้แล้ว สภาพดี กว่า 40 คัน ให้เลือกสรรแบบจุใจ พร้อมเงื่อนไขที่ยากจะปฏิเสธ

  • ออกรถวันนี้ ขับฟรี! ถึงปีหน้า*
  • ฟรี! ดาวน์*
  • ฟรี! ประกันภัยชั้น 1*
  • ฟรี! ค่าโอน*
  • ผ่อนนาน 84 เดือน*

มั่นใจได้ในคุณภาพ เพราะรถยนต์ทุกคันผ่านการตรวจสอบตามมาตรฐานของ มาสเตอร์ฯ และ ฮอนด้า เซอร์ทิฟายด์ ยูสคาร์ รู้แล้วอย่ามัวรอรี รีบไปคว้าโอกาสดีๆ แบบนี้กันให้ไว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

Master Certified Used Car (Call Center) โทร. 094-678-2888

Summit Honda Used Car โทร. 1334 Summit Honda Connect

www.facebook.com/masteusedcar.mcu

LINE Official Account: @masterusedcar [ https://lin.ee/cX9A5Vg ]

www.masterusedcar.com

YouTube: www.youtube.com/mastercertifiedusedcar

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

หมวดหมู่
Car Review Lormhuntuathai New Cars New Innovation News

ALL NEW MG5 สปอร์ตคูเป้ซีดาน น้องใหม่ จากเอ็มจี

คว้าสุดยอดรางวัลการออกแบบ “Good Design Award 2021”จากประเทศญี่ปุ่น

กรุงเทพฯ – 5 พฤศจิกายน 2564 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เผยความแรงอย่างต่อเนื่องของ ALL NEW MG5 ที่นอกจากยอดขายขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ของกลุ่ม B-segment ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน หลังบุกตลาดอย่างเป็นทางการ ด้วยการสร้างจุดขายดึงดูดคนรุ่นใหม่ ล่าสุด ALL NEW MG5 รถยนต์สปอร์ตคูเป้ซีดานน้องใหม่ของเอ็มจี ได้รับอีกหนึ่งรางวัลที่การันตีความโดดเด่นด้านงานดีไซน์ที่สะท้อนอัตลักษณ์เฉพาะตัวของรถยนต์รุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถคว้าสุดยอดรางวัล Good Design Award 2021 ในสาขา “Compact Sport Cars” ซึ่งเป็นรางวัลที่รู้จักในวงกว้างกับสัญลักษณ์ “G-Mark” เพราะเป็น 1 ใน 4 รางวัลด้านการออกแบบอุตสาหกรรม           ชั้นนำที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก โดยสถาบันส่งเสริมการออกแบบแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Institute of Design Promotion – JDP) ที่ไม่ได้วัดผลแค่ในกรอบของงานดีไซน์ แต่ลงลึกในด้านการใช้งาน และนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ต่างๆ อีกด้วย

เอ็มจี แนะนำ ALL NEW MG5 สู่ตลาดเมืองไทยด้วยแนวคิด “BEYOND”  เพราะต้องการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งชื่นชอบรถยนต์นั่งสไตล์สปอร์ตที่โดดเด่นและแตกต่างสะดุดตาเป็นการสร้างความเหนือชั้นกว่าให้กับรถยนต์ในกลุ่ม B-segment รวมไปถึงกลุ่ม Eco-Car ของไทยให้ก้าวข้ามกรอบเดิมๆ โดยมาพร้อมการออกแบบที่โฉบเฉี่ยวและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สมรรถนะที่รองรับการใช้งาน สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งฟังก์ชั่นและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย รวมถึงระบบความปลอดภัยที่คิดมาเพื่อความห่วงใยต่อผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างแท้จริง

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า“ALL NEW MG5 ถือเป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากรุ่นหนึ่งของเอ็มจี โดยหลังจากการเปิดตัวเพียง 3 เดือน เรามียอดจองจากโชว์รูมของเอ็มจีกว่า 7,300 คัน ซึ่งในจำนวนนี้ ได้ส่งมอบถึงมือลูกค้าไปแล้วกว่า 3,400 คัน ซึ่งทำให้ ALL NEW MG5 ขึ้นเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก หรือ B-segment ภายในเวลาเพียงแค่ 2 เดือนหลังจากการเปิดตัว และในตอนนี้ทางบริษัทกำลังเร่งการผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและทยอยส่งมอบรถให้กับลูกค้าโดยเร็วที่สุด สำหรับรางวัล Good Design Award 2021 จากประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นสุดยอดรางวัลที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างในวงการการออกแบบอุตสาหกรรมของโลก ที่ดูภาพรวมทั้งเรื่องการออกแบบการใช้งาน และนวัตกรรมต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จ และภาพที่ชัดเจนจากแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์บนเวทีระดับโลกที่เอ็มจียึดมั่นเสมอมา ภายใต้ 3 แกนหลัก ได้แก่ เทคโนโลยี (Technology) ความทันสมัย (Fashion) และความคุ้มค่า (Value) ที่ถ่ายทอดเจตนารมณ์การออกแบบรถที่สามารถเทียบชั้นกับรถยนต์ในระดับโลก สู่การเป็นสุดยอดยนตรกรรมที่พร้อมตอบโจทย์ให้กับผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี ”

ทั้งนี้นอกเหนือจากALL NEW MG5 ที่ได้รับรางวัลการออกแบบดีเด่น Good Design Award 2021 แล้ว  ผลิตภัณฑ์ภายใต้บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (SAIC Motor) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเอ็มจีในประเทศจีน ยังเคยคว้ารางวัลนี้มาก่อน จากแบรนด์รถยนต์ชั้นนำในเครือ ไม่ว่าจะเป็น แบรนด์รถยนต์ที่ล้ำสมัยอย่าง Roewe ที่นอกจากจะได้รับรางวัลดังกล่าว ยังได้รับรางวัลการออกแบบระดับโลกที่ทัดเทียมกับ Good Design Award อย่างรางวัล IF Design Award จากประเทศเยอรมนี ในรุ่น Roewe Marvel X ในปี ค.ศ. 2019 และ Roewe RX5 / Roewe eRX5 SUV ในปี ค.ศ. 2017

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MG CALL CENTRE โทร. 1267 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมของเอ็มจีได้ที่

Website: www.mgcars.com

Line: @MGThailand

Facebook: www.facebook.com/MGcarsThailand

Twitter: @mg_thailand

Instagram: @mgthailand

Youtube: MG Thailand

TikTok: @mgthailand

หมวดหมู่
Car Review Lormhuntuathai New Cars New Innovation News

มาสด้าผนึกกำลังทุบตลาดรถอเนกประสงค์ส่ง MAZDA FAMILY SUV เสริมทัพรับเปิดประเทศ

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 4 พฤศจิกายน 2564 –
มาสด้ากดปุ่มสตาร์ทตลาดรถยนต์ไทยผนึกกำลัง 2
รถอเนกประสงค์เอสยูวีลุยตลาดสองเดือนสุดท้าย ยกทัพ MAZDA FAMILY SUV
ให้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อทุกความสุขของสมาชิกในครอบครัวกับมาสด้า CX-5
พลังแห่งความสุขที่เร้าใจทุกเส้นทาง

ครอสโอเวอร์ที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่ใส่มาจนล้นคัน
เปิดราคาเริ่มต้นเพียง 1.3 ล้าน และมาสด้า CX-8 ให้ทุกช่วงเวลามีค่าไม่สิ้นสุด
กับรถอเนกประสงค์แบบที่นั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง และเพิ่มรุ่น Exclusive เบนซิน 6 ที่นั่ง
ครอสโอเวอร์เอสยูวีสุดหรู เทคโนโลยีจัดเต็ม สุดคุ้มค่ากับราคา 1.4 ล้าน
ประกาศเปิดแนวรุกธุรกิจมุ่งสู่การเติบโตเต็มรูปแบบ
เตรียมส่งอีกหลายรุ่นทั้งเอสยูวีและรถยนต์นั่งลุยตลาด เสริมแกร่งทั้งด้านการขาย
การบริการ และอัดโปรโมชั่นรับกำลังซื้อ คาดครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 5%
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย)
จำกัด กล่าวว่า วันนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
อันเนื่องจากปัจจัยบวกหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนคลายล็อกดาวน์
ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีน จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง


การประกาศเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ระบบมากขึ้น
โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ที่กำลังปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ
ที่สำคัญปลายปีถือเป็นช่วงไฮท์ซีซั่น ประชาชนจะออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น
รวมถึงแรงหนุนจากมาตรการของภาครัฐที่เข้ามาช่วยส่งเสริมด้านการใช้จ่ายให้คึกคัก
และส่งเสริมการท่องเที่ยว อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์อยู่ในระดับต่ำ
รวมถึงโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ซึ่งคาดว่าภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์อยู่ที่ประมาณ
720,000 – 750,000 คัน แม้ว่าจะเป็นตัวเลขต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี
แต่เชื่อว่าตลาดรถยนต์ไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว
ผนวกกับบรรยากาศและกำลังซื้อของผู้บริโภคกำลังกลับมาด้วยเช่นกัน

สำหรับมาสด้า ในช่วงที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ต้องปรับโหมดการบริหารจัดการ
ทั้งเรื่องของการจัดการภายในองค์กรและปรับกลยุทธ์เพื่อผู้จำหน่ายทั่วประเทศ
ที่ต้องอาศัยความยืดหยุ่นและการจัดการที่รวดเร็วให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกการ
สื่อสาร โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล หรือ Digital Transformation
ที่สำคัญคือมาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19
ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในวงกว้าง
ผลจากการปรับตัวอย่างรวดเร็วในครั้งนี้
ส่งผลทำให้มาสด้าสามารถสร้างธุรกิจให้เดินหน้าสู่การเติบโตต่อไป
และดำเนินกิจกรรมตามแผนงานที่วางไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี
และคาดว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากกว่า 5%
หรือใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 38,000 คัน ภายในสิ้นปีนี้
สำหรับผลประกอบการของมาสด้าที่ผ่านมาระหว่างเดือนมกราคม – ตุลาคม 2564
มียอดขายสะสมรวมทั้งสิ้น 28,327 คัน ลดลงเล็กน้อยประมาณ 6% (จากปี 2563 จำนวน
29,979 คัน) แบ่งออกเป็นรถยนต์นั่ง 16,636 คัน ลดลง 11% ได้แก่ มาสด้า2 จำนวน
14,901 คัน มาสด้า3 จำนวน 1,732 คัน มาสด้า MX-5 จำนวน 3 คัน
ในขณะที่ยอดขายรถอเนกประสงค์เอสยูวียังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีจำนวนรวมทั้งสิ้น
10,659 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 19% แบ่งออกเป็น มาสด้า CX-30 จำนวน 5,757 คัน มาสด้า
CX-3 จำนวน 3,493 คัน มาสด้า CX-8 จำนวน 717 คัน และมาสด้า CX-5 จำนวน 692
คัน ส่วนปิกอัพมาสด้า บีที-50 เริ่มกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะช่วงที่ผลผลิตทางการเกษตรเริ่มเก็บเกี่ยว โดยมียอดขายรวม 1,032 คัน
นอกจากนี้ นายธีร์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินธุรกิจมาสด้าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
ว่า “นับตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมามาสด้าได้แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ลงตลาดในกลุ่มรถอเนกประสงค์
เพื่อกระตุ้นตลาดและสร้างความสดใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์


โดยเฉพาะกลุ่มรถอเนกประสงค์เอสยูวีที่รวมถึง MAZDA FAMILY SUV
อันเป็นโมเดลหลักสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคหันมานิยมรถประเภทนี้มาก
ขึ้น และกำลังเป็นเซ็กเมนต์ที่มีการเติบโต
เพราะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
ทั้งนี้ยังกระตุ้นยอดขายด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่โชว์รูม ศูนย์การค้า
และแหล่งชุมชน เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย”
“นอกจากโหมกิจกรรมด้านการขายแล้ว
มาสด้ายังได้ยกระดับการบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เพื่อส่งมอบบริการที่ประทับใจและสร้างความผูกพันให้กับลูกค้าปัจจุบัน
และสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเข้ารับบริการหลังการขายที่ศูนย์บริการมาตรฐาน
ด้วยโปรแกรมให้การช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งส่วนลดค่าแรง ค่าอะไหล่

เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการที่ได้มาตรฐานและไร้กังวลกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
และได้เตรียมแผนเปิดตัวธุรกิจรูปแบบใหม่เพื่อกระตุ้นตลาดในเร็วๆ นี้” นายธีร์ กล่าว
ทั้งนี้ มาสด้ายังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ยนตรกรรมให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อส่งมอบความสุข
ความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับลูกค้าอย่างเต็มความสามารถ
และให้คำมั่นสัญญาว่าจะมุ่งมั่นสร้างสรรค์ยนตรกรรมเพื่ออนาคตอันสดใส
ผ่านประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถยนต์ เพื่อโลกที่ยังคงความสวยงาม
เพื่อสังคมในอุดมคติ และเพื่อผู้คน
เพื่อก้าวไปสู่จุดหมายที่ทำให้มาสด้ากลายเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่ลูกค้าให้ความรู้สึกรักแล
ะผูกพันอย่างเหนียวแน่น
และสามารถส่งมอบความสมบูรณ์แบบให้กับลูกค้าทุกคนได้อย่างแท้จริง

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 4 พฤศจิกายน 2564 –
มาสด้ากดปุ่มสตาร์ทตลาดรถยนต์ไทยผนึกกำลัง 2
รถอเนกประสงค์เอสยูวีลุยตลาดสองเดือนสุดท้าย ยกทัพ MAZDA FAMILY SUV
ให้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อทุกความสุขของสมาชิกในครอบครัวกับมาสด้า CX-5
พลังแห่งความสุขที่เร้าใจทุกเส้นทาง
ครอสโอเวอร์ที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่ใส่มาจนล้นคัน
เปิดราคาเริ่มต้นเพียง 1.3 ล้าน และมาสด้า CX-8 ให้ทุกช่วงเวลามีค่าไม่สิ้นสุด
กับรถอเนกประสงค์แบบที่นั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง และเพิ่มรุ่น Exclusive เบนซิน 6 ที่นั่ง
ครอสโอเวอร์เอสยูวีสุดหรู เทคโนโลยีจัดเต็ม สุดคุ้มค่ากับราคา 1.4 ล้าน
ประกาศเปิดแนวรุกธุรกิจมุ่งสู่การเติบโตเต็มรูปแบบ
เตรียมส่งอีกหลายรุ่นทั้งเอสยูวีและรถยนต์นั่งลุยตลาด เสริมแกร่งทั้งด้านการขาย
การบริการ และอัดโปรโมชั่นรับกำลังซื้อ คาดครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 5%
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย)
จำกัด กล่าวว่า วันนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
อันเนื่องจากปัจจัยบวกหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนคลายล็อกดาวน์
ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีน จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง
การประกาศเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ระบบมากขึ้น
โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ที่กำลังปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ
ที่สำคัญปลายปีถือเป็นช่วงไฮท์ซีซั่น ประชาชนจะออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น
รวมถึงแรงหนุนจากมาตรการของภาครัฐที่เข้ามาช่วยส่งเสริมด้านการใช้จ่ายให้คึกคัก
และส่งเสริมการท่องเที่ยว อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์อยู่ในระดับต่ำ
รวมถึงโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ซึ่งคาดว่าภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์อยู่ที่ประมาณ
720,000 – 750,000 คัน แม้ว่าจะเป็นตัวเลขต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี
แต่เชื่อว่าตลาดรถยนต์ไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว
ผนวกกับบรรยากาศและกำลังซื้อของผู้บริโภคกำลังกลับมาด้วยเช่นกัน

สำหรับมาสด้า ในช่วงที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ต้องปรับโหมดการบริหารจัดการ
ทั้งเรื่องของการจัดการภายในองค์กรและปรับกลยุทธ์เพื่อผู้จำหน่ายทั่วประเทศ
ที่ต้องอาศัยความยืดหยุ่นและการจัดการที่รวดเร็วให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกการ
สื่อสาร โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล หรือ Digital Transformation
ที่สำคัญคือมาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19
ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในวงกว้าง
ผลจากการปรับตัวอย่างรวดเร็วในครั้งนี้
ส่งผลทำให้มาสด้าสามารถสร้างธุรกิจให้เดินหน้าสู่การเติบโตต่อไป
และดำเนินกิจกรรมตามแผนงานที่วางไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี
และคาดว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากกว่า 5%
หรือใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 38,000 คัน ภายในสิ้นปีนี้
สำหรับผลประกอบการของมาสด้าที่ผ่านมาระหว่างเดือนมกราคม – ตุลาคม 2564
มียอดขายสะสมรวมทั้งสิ้น 28,327 คัน ลดลงเล็กน้อยประมาณ 6% (จากปี 2563 จำนวน
29,979 คัน) แบ่งออกเป็นรถยนต์นั่ง 16,636 คัน ลดลง 11% ได้แก่ มาสด้า2 จำนวน
14,901 คัน มาสด้า3 จำนวน 1,732 คัน มาสด้า MX-5 จำนวน 3 คัน
ในขณะที่ยอดขายรถอเนกประสงค์เอสยูวียังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีจำนวนรวมทั้งสิ้น
10,659 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 19% แบ่งออกเป็น มาสด้า CX-30 จำนวน 5,757 คัน มาสด้า
CX-3 จำนวน 3,493 คัน มาสด้า CX-8 จำนวน 717 คัน และมาสด้า CX-5 จำนวน 692
คัน ส่วนปิกอัพมาสด้า บีที-50 เริ่มกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะช่วงที่ผลผลิตทางการเกษตรเริ่มเก็บเกี่ยว โดยมียอดขายรวม 1,032 คัน


นอกจากนี้ นายธีร์ยังได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินธุรกิจมาสด้าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
ว่า “นับตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมามาสด้าได้แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ลงตลาดในกลุ่มรถอเนกประสงค์
เพื่อกระตุ้นตลาดและสร้างความสดใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์
โดยเฉพาะกลุ่มรถอเนกประสงค์เอสยูวีที่รวมถึง MAZDA FAMILY SUV
อันเป็นโมเดลหลักสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคหันมานิยมรถประเภทนี้มาก
ขึ้น และกำลังเป็นเซ็กเมนต์ที่มีการเติบโต
เพราะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
ทั้งนี้ยังกระตุ้นยอดขายด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่โชว์รูม ศูนย์การค้า
และแหล่งชุมชน เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย”
“นอกจากโหมกิจกรรมด้านการขายแล้ว
มาสด้ายังได้ยกระดับการบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เพื่อส่งมอบบริการที่ประทับใจและสร้างความผูกพันให้กับลูกค้าปัจจุบัน
และสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเข้ารับบริการหลังการขายที่ศูนย์บริการมาตรฐาน
ด้วยโปรแกรมให้การช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งส่วนลดค่าแรง ค่าอะไหล่

เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการที่ได้มาตรฐานและไร้กังวลกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
และได้เตรียมแผนเปิดตัวธุรกิจรูปแบบใหม่เพื่อกระตุ้นตลาดในเร็วๆ นี้” นายธีร์ กล่าว
ทั้งนี้ มาสด้ายังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ยนตรกรรมให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อส่งมอบความสุข
ความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับลูกค้าอย่างเต็มความสามารถ
และให้คำมั่นสัญญาว่าจะมุ่งมั่นสร้างสรรค์ยนตรกรรมเพื่ออนาคตอันสดใส
ผ่านประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถยนต์ เพื่อโลกที่ยังคงความสวยงาม
เพื่อสังคมในอุดมคติ และเพื่อผู้คน
เพื่อก้าวไปสู่จุดหมายที่ทำให้มาสด้ากลายเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่ลูกค้าให้ความรู้สึกรักแล
ะผูกพันอย่างเหนียวแน่น
และสามารถส่งมอบความสมบูรณ์แบบให้กับลูกค้าทุกคนได้อย่างแท้จริง

หมวดหมู่
Car Review Lormhuntuathai New Cars New Innovation News

ฉางอัน ออโตโมบิล เผยผลการดำเนินงานดีเยี่ยมเติบโตตามกระแสอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศจีนแม้ทั่วโลกซบเซา

ฉงชิ่ง (7 ตุลาคม 2564) – การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 และการขาดแคลนชิ้นส่วนได้ทำให้อุตสาหกรรมและตลาดยานยนต์ทั่วโลกตกอยู่ในขาลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยอดขายที่กำลังดิ่งลงเช่นเดียวกัน ผลกระทบใหญ่ที่ตามมาคือธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกเริ่มเติบโตช้าหรือหดตัว อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่สำหรับธุรกิจยานยนต์ กลับเติบโตสวนกระแสโลก ซึ่งอันที่จริงแล้ว แบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนนับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากในธุรกิจนี้ เพราะยอดขายและส่วนแบ่งทางการตลาดได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจของแบรนด์ ในการเป็นผู้นำวิวัฒนาการยานยนต์และสร้างผลที่ดีสู่มนุษย์ ตลอดจนวิสัยทัศน์ในการสร้างธุรกิจยานยนต์ระดับโลก ฉางอัน ออโตโมบิล ได้เผยแพร่ผลการดำเนินงานระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคมปีนี้อย่าง
เป็นทางการ โดยมียอดขายสะสมกว่า 1.2 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้น 38.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในสัดส่วนนี้
รถยนต์โดยสารส่วนบุคคลที่มีการแข่งขันสูง มียอดขายสะสมตลอดแปดเดือนกว่า 800,000 คัน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 49.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ฉงชิ่ง (7 ตุลาคม 2564) – การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 และการขาดแคลนชิ้นส่วนได้ทำให้อุตสาหกรรมและตลาดยานยนต์ทั่วโลกตกอยู่ในขาลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยอดขายที่กำลังดิ่งลงเช่นเดียวกัน ผลกระทบใหญ่ที่ตามมาคือธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกเริ่มเติบโตช้าหรือหดตัว อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่สำหรับธุรกิจยานยนต์ กลับเติบโตสวนกระแสโลก ซึ่งอันที่จริงแล้ว แบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนนับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากในธุรกิจนี้ เพราะยอดขายและส่วนแบ่งทางการตลาดได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจของแบรนด์ ในการเป็นผู้นำวิวัฒนาการยานยนต์และสร้างผลที่ดีสู่มนุษย์ ตลอดจนวิสัยทัศน์ในการสร้างธุรกิจยานยนต์ระดับโลก ฉางอัน ออโตโมบิล ได้เผยแพร่ผลการดำเนินงานระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคมปีนี้อย่าง
เป็นทางการ โดยมียอดขายสะสมกว่า 1.2 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้น 38.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในสัดส่วนนี้
รถยนต์โดยสารส่วนบุคคลที่มีการแข่งขันสูง มียอดขายสะสมตลอดแปดเดือนกว่า 800,000 คัน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 49.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ผลการดำเนินงานอันยอดเยี่ยมนี้ เป็นผลที่เกิดจากการปฏิบัติงานอย่างแข็งขันในกลุ่มรถยนต์หลักหลายตระกูล ซึ่งถูกคิดค้นและพัฒนาจากหลักคุณค่าของแบรนด์ทั้งสี่ประการได้แก่ 1) ยึดถือลูกค้าเป็นหัวใจหลัก และมุ่งส่งมอบประสบการณ์และบริการระดับแนวหน้า 2) ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ มุ่งเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีและผลิตรถยนต์คลาสสิก 3) เน้นคุณค่า ก้าวไปข้างหน้าด้วยข้อมูล ประสิทธิภาพ และอุตสาหกรรม 4) ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพเพื่อสะท้อนถึงพลัง เน้นความเป็นเลิศ ในเดือนสิงหาคม สัดส่วนยอดขายรถยนต์แฟลกชิปของฉางอัน SUV CS75 มีจำนวน 15,530 คัน โดยในส่วนนี้รวมรุ่น CS75 PLUS ที่เพิ่งประกาศเปิดตัวได้ไม่ถึงสองปีที่ผ่านมาด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้มียอดขายสะสมอยู่กว่า 400,000 คัน ในด้านรถยนต์โดยสารส่วนบุคคล ยอดขายของรถยนต์รุ่น EADO ในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 12,876 คัน ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งติดต่อกันถึง 14 เดือน นอกจากนี้ ยอดขายของรถยนต์
ตระกูล UNI ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก อยู่ที่ 8,803 คันในเดือนสิงหาคมเช่นเดียวกัน

ฉางอัน ออโตโมบิล ถือเป็นหนึ่งในสี่ธุรกิจยานยนต์ชั้นนำของประเทศจีน ที่มีประวัติยาวนานกว่า 159 ปี และมีประสบการณ์ใน
การผลิตยานพาหนะมากว่า 37 ปี บริษัทฯมีฐานการผลิตทั้งหมด 14 แห่ง และมี 33 แห่งทั่วโลกที่ใช้สำหรับผลิตเครื่องยนต์และชิ้นส่วน ในปี 2014 ยอดขายสะสมรถยนต์ของ ฉางอัน ออโตโมบิล สูงถึง 10 ล้านคัน และในปี 2021 ยอดขายสะสมนี้ได้ทะลุกว่า
20 ล้านคันแล้ว

ฉางอัน ออโตโมบิล มีบุคคลากรด้านการวิจัยและพัฒนากว่า 10,000 คนจาก 27 ประเทศทั่วโลก พร้อมปฏิบัติการอยู่ที่แนวหน้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้สร้างเครือค่ายการวิจัยและพัฒนาทั่วโลกโดยเน้นความสำคัญในหลายด้าน เพื่อเชื่อมศูนย์วิจัยจากฉงชิ่ง ปักกิ่ง มณฑลเหอเป่ย และมณฑลอานฮุยในจีนเข้าด้วยกัน รวมถึงเมืองตูรินในอิตาลี เมืองโยโกฮาม่าในญี่ปุ่น เมืองนอตทิงแฮมในสหราชอาณาจักร เมืองดีทรอยต์ในสหรัฐอเมริกา และ เมืองมิวนิคในเยอรมนี เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถยนต์ทุกคันที่ผลิตจะตอบสนองต่อความต้องการและความปรารถนาของผู้บริโภคที่จะได้ครอบครองรถยนต์ที่วิ่งได้กว่า 260,000 กิโลเมตร และมีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี เพราะเหตุนี้ ฉางอัน ออโตโมบิล จึงได้สร้างระบบการพัฒนาผลิตภัณฑ์และระบบตรวจสอบ
การทดสอบขึ้นอีกด้วย

ในปี 2017 ฉางอัน ออโตโมบิล ได้เปิดตัวโครงการพัฒนานวัตกรรมและการร่วมทุนทางธุรกิจครั้งที่สาม (Third Breakthrough-Innovation and Business Venture Program) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายศักยภาพด้านซอฟต์แวร์ ที่จะช่วยเสริมขีดความสามารถหลักทางการแข่งขัน และปรับเปลี่ยนบริษัทฯ ให้เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีการเดินทางอัจฉริยะแบบคาร์บอนต่ำ

นอกจากนี้ ฉางอัน ออโตโมบิล ยังเปิดตัวรถยนต์รุ่นขายดี ซึ่งรวมถึงรุ่น CS รุ่น EADO รุ่น UNI-T และอีกมากมาย ในส่วนของเทคโนโลยีอัจฉริยะ ฉางอัน ออโตโมบิล ได้เปิดตัวกลยุทธ์อัจฉริยะ “Dubhe Intelligence Plan” เพื่อส่งมอบประสบการณ์การสื่อสารไร้สายแบบอัจฉริยะ ปลอดภัย น่าพึงพอใจ มีความใกล้ชิด และการได้รับความสบายใจตลอดการเดินทางอันรื่นรมย์ให้แก่ผู้ใช้งาน ด้วยการดำเนินงานภายใต้แผน “4+1” บริษัทฯ จะประชาสัมพันธ์ถึงคุณสมบัติความอัจฉริยะต่างๆ ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์และแบรนด์ การปรับแผนงานต่างๆ ตลอดจนการอัพเกรดผลิตภัณฑ์ ในด้านของยานยนต์พลังงานใหม่
ฉางอัน ออโตโมบิล ได้นำเสนอแผนการเชิงกลยุทธ์ “Shangri-La Plan” เพราะบริษัทฯ ได้ให้คำมั่นว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม และเพิ่มรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมกลุ่มสินค้าทั้งหมดภายในปี 2025 สุดท้ายนี้ ฉางอัน ออโตโมบิล มีความมุ่งมั่นที่จะขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ มีระบบนิเวศน์รองรับในทุกด้าน และจะไม่หยุดยั้งการพัฒนายานยนต์พลังงานใหม่ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพชั้นสูง ตลอดจนมีคุณสมบัติการใช้งานที่ครบถ้วนเพื่อตอบสนองต่อความต้องการอันหลากหลายของผู้บริโภค

หมวดหมู่
Car Review New Cars New Innovation News

บททดสอบสุดหฤโหด

เตรียม #NextGenRanger ให้พร้อมเผชิญทุกสถานการณ์

กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย, 21 ตุลาคม 2564 – ในการทดสอบความแกร่งและความทนทานของฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ทีมวิศวกรผู้พัฒนารถฟอร์ดทั่วโลกไม่เคยยั้งมือกับการตั้งโจทย์สุดโหดทุกรูปแบบ เพื่อให้มั่นใจว่านี่จะเป็นรถกระบะระดับโลกที่พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่ท้าทายในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก

ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ได้รับการออกแบบและพัฒนาเพื่อเป็นรถกระบะที่แกร่งที่สุด ชาญฉลาดที่สุด ตอบสนองการใช้งานของลูกค้าได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับฟอร์ด เรนเจอร์ ทุกรุ่นที่เคยมีมา กระบะพันธุ์แกร่งคันนี้จึงต้องผ่านการทดสอบทั้งบนถนนจริงและในโปรแกรมเสมือนจริงมากกว่าทุกครั้ง

“เพราะคำว่า ‘เกิดมาแกร่ง’ ของเราไม่ได้มากันง่ายๆ เราจึงจริงจังกับทุกขั้นตอน” มร. จอห์น วิลเลมส์ หัวหน้าวิศวกรโปรแกรม ฟอร์ด เรนเจอร์ กล่าว “ทุกองค์ประกอบของฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่  ได้รับการทดสอบด้วยมาตรฐานเดียวกับที่เราใช้กับรถฟอร์ดทุกรุ่น”

ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ จึงต้องเผชิญทุกสภาพแวดล้อมการขับขี่สุดทรหดที่อาจพบได้ในทุกมุมโลก นอกจากเพื่อให้มั่นใจว่ารถคันนี้พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งานของลูกค้าแล้ว กระบะคันนี้ยังต้องผ่านมาตรฐานระดับโลกที่เข้มข้นของฟอร์ด ทั้งในแง่คุณภาพ ความทนทาน และความไว้วางใจได้

“สิ่งสำคัญคือลูกค้าของเราต้องวางใจได้ว่า ฟอร์ด เรนเจอร์ จะเป็นรถคู่ใจที่พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่เหนือชั้นได้ตลอดการใช้งาน เราจึงต้องทดสอบรถด้วยรูปแบบสุดหฤโหดต่างๆ ที่เหนือไปกว่าการใช้งานจริง เพื่อให้มั่นใจว่ารถคันนี้พร้อมเผชิญกับทุกสถานการณ์อันท้าทาย” มร. วิลเลมส์ กล่าว

“ไม่ว่าจะเป็นการบุกป่า ฝ่าโคลน รับมือกับสภาพอากาศร้อนชื้น การลากจูงของหนักผ่านยอดเขาสูง หรือความทนทานต่ออุณหภูมิสูงกว่า 50 องศาเซลเซียส ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ผ่านมาหมดแล้ว”

จนถึงตอนนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่  ได้ผ่านการทดสอบขับฝ่าทะเลทรายไปแล้วกว่า 10,000 กิโลเมตร การขับแบบใช้งานในชีวิตประจำวันราว 1,250,000 กิโลเมตร และการขับขี่แบบออฟโรด พร้อมน้ำหนักในการบรรทุกสูงสุดอีก 625,000 กิโลเมตร และเรายังคงทดสอบรถอยู่จนถึงตอนนี้ ภายใต้ทุกสภาพเส้นทางที่แตกต่างกันทั่วโลก

และก่อนที่รถจะออกมาวิ่งทดสอบบนถนนจริง ทีมวิศวกรของฟอร์ดใช้เวลาหลายพันชั่วโมงในการทดสอบรถต้นแบบในระบบจำลองสถานการณ์เสมือนจริง รวมถึงการทดสอบรถต้นแบบคันจริงในห้องแล็บอีกหลายพันชั่วโมง เพื่อตรวจสอบทุกองค์ประกอบตั้งแต่อากาศพลศาสตร์ ไปจนถึงความทนทานของชิ้นส่วนและโครงสร้างทั้งหมด

“โปรแกรมจำลองสถานการณ์เสมือนจริงช่วยร่นระยะเวลาในการพัฒนารถรุ่นใหม่ ในขณะที่การทดสอบในห้องแล็บช่วยให้เราปรับแต่งและทดสอบแต่ละชิ้นส่วนได้อย่างเฉพาะเจาะจง แต่ก็ยังไม่มีอะไรทดแทนการทดสอบรถบนถนนจริงได้” มร. วิลเลมส์ อธิบาย

ลูกค้าฟอร์ด เรนเจอร์ มีความคาดหวังว่ารถกระบะคู่ใจจะต้องพร้อมบุกตะลุยไปทุกที่ การทดสอบของเราจึงจำลองสถานการณ์ที่ครอบคลุมทุกสภาพแวดล้อมที่ลูกค้าพบเจอได้ในการใช้งานจริง โดยการทดสอบเหล่านี้เกิดขึ้นในพื้นที่ทำงานของฟอร์ดทั่วโลก เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ จะตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าในกว่า 180 ประเทศทั่วโลกได้อย่างเต็มที่

สำหรับการทดสอบบางอย่างที่ทรหดเกินกว่ามนุษย์จะทนได้ จึงมีการใช้โปรแกรมจำลองสถานการณ์เสมือนจริงและหุ่นยนต์เข้ามาเป็นตัวช่วย เช่น การทดสอบช่วงล่างของรถด้วยระบบสั่นสะเทือน ทำให้รถทั้งคันต้องเจอแรงกระแทกสุดทรหดต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น

“ในฐานะวิศวกร งานแรกของเราคือการถ่ายทอดความต้องการของผู้ใช้รถให้ออกมาเป็นข้อมูลที่ชัดเจน จับต้องได้ เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานให้กับทุกคนในทีมออกแบบและพัฒนารถ เพื่อให้ทีมวิศวกรใช้อ้างอิงในทุกกระบวนการ นี่คือสิ่งที่สำคัญสูงสุดสำหรับเรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ เพราะเป็นรถที่เราพัฒนาขึ้นเพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นให้กับลูกค้าทั่วโลก” มร. วิลเลมส์ กล่าวสรุป

รับชมวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/J2bsxQ8JyZo